รายงาน
เรื่อง สรุปรายละเอียดวิชาความจริงของชีวิต
กลุ่มที่ 3
เสนอ
อาจารย์ อับดุลสุโก ดินอะ
จัดทำโดย
1. นาย มะหะดี หัดขะเจ
2. นาย อรุณ ดลล่าเต๊ะ
3. นาย จีระพงศ์ หน่อทอง
4. นาย นูรุดดีน สาเร๊ะ
5. นาย อังคาร ตุลโน
สาขา พัฒนาชุมชน
วิทยาลัยชุมชน สงขลา
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ความจริงของชีวิต (ศท 0201)
ภาคเรียนที่ 2/2552
1. เป้าหมายของชีวิตคือ
การดำเนินชีวิตเพื่อความอยู่รอด สะดวกสบาย และมีความสุข
2. ความหมายของศาสนาคือ
คำว่า "ศาสนา" ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า "Religion" และคำว่า "ศาสนา" ในภาษาไทย มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตว่า "ศาสน" แต่หากเขียนว่า "สาสนา" จะเป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีว่า "สาสน" (ประยงค์ สุวรรณบุบผา, 2537: 164)
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก (2527 : 28-36) ทรงให้ความหมายว่า ศาสนา มีความหมายสรุปได้เป็น 2 นัย คือ (1) คำสั่งสอน (2) การปกครอง
พระราชวรมุนี (ประยุทธ ปยุตฺโต) (2527: 291) ทรงให้นิยามว่า "ศาสนา" คือ คำสอน คำสั่งสอน ปัจจุบันใช้หมายถึงลัทธิความเชื่อถืออย่างหนึ่ง ๆ พร้อมด้วยหลักคำสอน ลัทธิพิธี องค์การ และกิจการทั่วไปของหมู่ชนผู้นับถือลัทธิความเชื่อถืออย่างนั้น ๆ ทั้งหมด
3. การแบ่งศาสนา
การจัดประเภทศาสนานั้น มีวิธีการจัดแบ่งที่หลากหลาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง เป็นต้นว่า
3.1 แบ่งประเภทของศาสนาตามระบบความเชื่อ
- ศาสนาแบบโลกิยะ (Secular Religion) คือการรวมเอาความเชื่อ หรือหลักการที่เกี่ยวกับความเชื่อในโลกนี้อย่างเดียวเท่านั้น โดยปฏิเสธความมีอยู่ของชีวิตในโลกหน้า ศาสนา ประเภทนี้รวมเอาหลักการของคอมมิวนิสต์ ลัทธิฟาสซิสม์ ลัทธิวัตินิยม สังคมนิยม รวมทั้งความประพฤติและระเบียบ กฎหมาย ประเพณีที่ยึดปฏิบัติกันอยู่ในสังคม
- ศาสนาแบบศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Religion) คือศาสนาตามประเพณีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือความลึกลับในชีวิตทั้งในโลกหน้า ศาสนาแบบนี้รวมคำสอนของศาสนาใหญ่ ๆ ซึ่ง เสริมให้บุคคลปฏิบัติตามกรอบที่ดีของศีลธรรม ทั้งบูชาและยกย่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีอยู่ในศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู เป็นต้น
3.2 แบ่งตามชื่อศาสนา
- ชื่อตามผู้ตั้งศาสนา ได้แก่ ศาสนาขงจื๊อ ตั้งชื่อตามท่านขงจื๊อ หรือศาสนาโซโรอัสเตอร์ ตั้งชื่อตามท่านศาสดาโซโรอัสเตอร์
- ชื่อตามนามเกียรติยศของผู้ตั้งศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ คำว่าพุทธะ แปลว่า ท่านผู้รู้ ทั้ง ๆ ที่นามแท้จริงของพระพุทธเจ้าคือ สิทธัตถะ โคตมะ หรือศาสนาเชน คำว่า เชน มาจาก คำว่า ชินะ แปลว่าผู้ชนะ ทั้งที่ชื่อจริงของผู้ตั้งศาสนาคือ วรรธมานะ เป็นต้น
- ชื่อตามหลักคำสอนในศาสนา ได้แก่ ศาสนาเต๋า คำว่า "เต๋า" แปลว่า ทาง (The Way) หรือทิพยมรรคา (The Divine Way) ศาสนาชินโต คำว่า "ชินโต" แปลว่า ทางแห่งเทพทั้งหลาย (The Way of the Gods) เป็นต้น
3.3 แบ่งประเภทตามการที่มีผู้นับถืออยู่หรือไม่
- ศาสนาที่ตายไปแล้ว (Dead Religions) หมายถึง ศาสนาที่เคยมีผู้รับถือในอดีต แต่ปัจจุบันไม่มีใครนับถือ หรือดำรงไว้ คงไว้เพียงชื่อที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ เช่น ศาสนาของอียิปต์ โบราณ ศาสนาของเผ่าบาบิโลเนียน ศาสนาของกรีกโบราณา เป็นต้น
- ศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่ (Living Religion) หมายถึง ศาสนาที่ยังมีผู้นับถืออยู่จนถึงปัจจุบันนี้
ก. ศาสนาที่มีแหล่งกำเนิดในเอเชียตะวันออก คือ จีน และญี่ปุ่น ได้แก่ ศาสนาขงจื๊อ ศาสนาเต๋า และศาสนาชินโต
ค. ข.ศาสนาที่มีแหล่งกำเนิดในเอเชียใต่ เช่น อินเดีย ปากีสถาน ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดู ศาสนาเชน และศาสนาสิข
ง. ศาสนาที่มีแหล่งกำเนิดในเอเชียตะวันตก คือ ดินแดนปาเลสไตน์ เปอร์เชีย และอารเบีย ได้แก่ ศาสนายูดาย หรือยิว ศาสนาสโซโรอัสเตอร์ ศาสนาคริส์ และศาสนาอิสลาม
3.4 แบ่งประเภทตามความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า
3.4.1 ศาสนาที่นับถือพระเจ้า หรือ "เทวนิยม" (Theism) คือ เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ที่สร้างโลก และสรรพสิ่งต่าง ๆ ซึ่งศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์แยกเป็น
ก. เอกเทวนิยม (Monotheism) จะนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ได้แก่ ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนาสิข และศาสนาเต๋า
ข. พหุเทวนิยม (Polytheism) นับถือพระเจ้าหลายองค์ บางครั้งยังผสมผสานกับการบูชาธรรมชาติ ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาชินโต และศาสนาขงจื๊อ
3.4.2 ศาสนาที่ไม่มีการนับถือพระเจ้า เรียกว่า "อเทวนิยม" (Atheism) ได้แก่ ศาสนาพุทธ และศาสนาเชน
4. ข้อแตกต่างและข้อเหมือนของศาสนา
- ตารางข้อแตกต่างระหว่างศาสนาพุทธ และ อิสลาม
วิถีวัฒนธรรม ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม
การยึดเหนี่ยวจิตใจ เทวรูป,พระพุทธเจ้า พระอัลลอฮ์
ศาสดา พระสิทธถะ มูฮัมหมัด (ศ้อลฯ)
คัมภีร์ พระไตรปิฏก เตารอด,อินญิล,ซาบูรและ
อัลกุรอ่าน
การแต่งกาย ไม่มิดชิด ปกปิดมิดชิด
ศาสนพิธี บรรพชา,อุปสมบท การละหมาด,การถือศีลอด,จ่ายซะกาตและการทำฮัจญ์
การบริโภค
กินเนื้อหมู
ไม่กินเนื้อหมู
หลักธรรม คำสอน 1.ทาน
2.ปิยวาจา
3.อัตถจริยา
4.สมานัตตตา
พรหมวิหาร4
1.เมตตา
2.กรุณา
3.มุทิตา
4.อุเบกขา
เบญจศีล
1.ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
2.ไม่ลักขโมยคดโกงผู้อื่น
3.ไม่ประพฤติผิดในกาม
4.ไม่พูดปด
5.ไม่ดื่มสุราและของมึนเมา
อริยสัจ4
1.ทุกข์
2.สมทัย
3.นิโรธ
4.มรรค
อิทธิบาท4
1.ฉันทะ
2.วิริยะ
3.จิตตะ
4.วิมังสา
วุฒิธรรม4.
1.สัปปริสสังเสวะ
2.สิทธัมมัสสวนะ
3.โยนิโสมนสิการ
4.ธัมมานุธัมมปฏิบัติ
ทิฏฐธัมมิภัตถประโยชน์4.
1.อุฎฐานสัมปทา
2.อารักขสัมปทา
3.กัลยาณมิตตา
4.สมชีวิตา มี 2 ประเภทใหญ่ๆคือ:-
1.หลักศรัทธา
-ศรัทธาในพระอัลลอฮ์ -ศรัทธาในบรรดามลาอีกะฮ์ -ศรัทธาในพระคัมภีร์ -ศรัทธาในศาสนฑูต -ศรัทธาในวันพิพากษา -การศรัทธาต่อกฏกำหนดสภาวการณ์ 2.หลักปฏิบัติ -การปฏิญาณตน -การนมาซ (ละหมาด) -การถือศีลอด -การจ่ายซะกาต -การประกอบพิธีฮัจญ์
ศาสนสถาน วัด มัสยิด
- ในแง่มุมของความเหมือนกัน เช่น
1 . ทุกศาสนา สอนให้มนุษย์เกิดความเชื่อว่า "ตัวเองได้หลุดพ้นจากความรู้สึกผิดแล้ว"
2 . ทุกศาสนา สอนให้มนุษย์เชื่อว่า "แต่นี้ต่อไปสิ่งลึกลับจะไม่ลงโทษเราอีกต่อไปแล้ว"
3 . ทุกศาสนา สอนให้มนุษย์เชื่อว่า "แต่นี้ต่อไปสิ่งลึกลับจะยกโทษให้เรา หรือบรรเทาโทษให้เราแล้ว
5. หน้าที่พลเมืองของศาสนิกที่มีต่อศาสนา
1. ศึกษาหลักธรรม และปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดา ตลอดจนนำหลักธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้คนในสังคม
2. ศึกษาความสำคัญของศาสนาที่มีต่อสังคมไทยและประชาชนชาวไทย โดยให้เห็นคุณค่า ของศาสนาที่ตน นับถือ ตลอดจนคุณค่าของศาสนาที่คนอื่น ๆ นับถือ เพื่อนำหลักจริยธรรม ในศาสนา มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประเทศ และทำให้สังคมมีความสงบสุข
3. ศึกษา และเข้าร่วมประกอบศาสนพิธีตามโอกาส ซึ่งการประกอบพิธีกรรมทางศาสนานั้น ไม่ควรขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยของกฎหมายบ้านเมือง ตลอดจนไม่ขัดกับจารีตประเพณี อันดีงาม ของสังคมไทยที่สืบทอดกันมา
4. เผยแผ่ศาสนาที่ตนนับถืออยู่ไปยังศาสนิกชนผู้นับถือศาสนาเดียวกัน และศาสนิกชนต่างศาสนา เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับศาสนา และเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ทาง ด้านศาสนาระหว่างกัน
5. ปกป้องและรักษาศาสนาที่ตนเองนับถือ ตลอดจนสถาบันและองค์กรทางศาสนาต่าง ๆ มิให้ผู้ใดสร้างความ เสื่อมเสียให้ได้ และหากมีผู้ใดเกิดความเข้าใจผิดในศาสนาที่เรานับถือ ก็ควรให้ความกระจ่างและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
6. ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น ๆ กล่าวคือ ไม่ดูหมิ่นหลักคำสอน ศาสดา คัมภีร์ ศาสนิกชน และ พิธีกรรม ทางศาสนา ตลอดจนไม่ทำลายรูปเคารพ หรือโบราณสถานและโบราณวัตถุ ของศาสนาอื่น ๆ
7. ส่งเสริมให้มีกิจกรรมระหว่างศาสนา และศาสนิกชนที่นับถือศาสนาอื่น ๆ ทั้งนี้เพื่อให้เกิด ความเข้าใจอันดีระหว่างกัน และเพื่อประสานความช่วยเหลือกันในอนาคต
8. ช่วยพัฒนาศาสนสถาน เนื่องจากศาสนสถานเป็นที่ประกอบพิธีกรรม และเป็นที่พำนักของ นักบวช ตลอดจนเป็นศูนย์รวมของศิลปวัฒนธรรมของศาสนาต่าง ๆ ดังนั้น ศาสนิกชนที่ ดีควรช่วยกันพัฒนา ศาสนสถานของตนให้สะอาดเรียบร้อย และทำนุบำรุงส่วนที่เสียหายให้มีความมั่นคงแข็งแรงต่อไป
วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553
หลักการศรัทธาในศาสนาอิสลาม
หลักการศรัทธาในศาสนาอิสลาม
รู่ก่นที่3 หลักการศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ของพระองค์(อัลลอฮ์)
เราต้องศรัทธาว่าบรรดาคัมภีร์ที่ถูกประทานมานั้นมาจากพระองค์(อัลลอฮ์)ทั้งสิ้น และต้องเชื่อในสิ่งที่ระบุไว้ในคัมภีร์ และต้องปฏิบัติตามข้อบัญญัติที่ระบุไว้ในคัมภีร์(ปัจจุบันคือ อัล กุร-อ่าน)
ในบรรดาคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมาทั้งหมด มีจำนวน 104 เล่ม และที่สำคัญยิ่งมีอยู่ 4 เล่ม คือ:-
1. เตารอต ทรงประทานให้แก่ นบี มูซา (อ) โมเสส
2. ซาบูร ทรงประทานให้แก่ นบี ดาวูด (อ) เดวิด
3. อินญีล ทรงประทานให้แก่ นบี อีซา (อ) พระเยซู
4. อัล กุร-อ่าน ทรงประทานให้แก่ นบี มูฮัมหมัด (ซ.ล)
ช่วงเวลาของการประทานคัมภีร์ที่สำคัญ
1. เตารอต ถูกประทานมาในช่วงเวลาเพียง 6 คืนของรอมฏอน หลังซูฮุฟ 700 ปี
2. ซาบูร ถูกประทานมาในช่วงเวลาเพียง 12 คืนของรอมฏอน หลัง เตารอต 500 ปี
3. อินญีล ถูกประทานมาในช่วงเวลาเพียง 18 คืนของรอมฏอน หลัง ซาบูร 1200 ปี
4. อัล กุร-อ่าน ถูกประทานลงมาในคืนที่ 27 ของเดือนรอมฏอน หลัง อินญีล 620 ปี
ในส่วนของ อัล กุร-อ่านถูกประทานลงมาแบบเรื่อยๆ ตามสภาพปัญหาและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ใช้เวลาทั้งสิ้น 23 ปี
รูก่นที่ 4 หลักการศรัทธาต่อบรรดา รซู้ล ของอัลลอฮ์
นบี คือบุคคลที่องค์อัลลอฮ์ทรงเลือกเฟ้นมาจากบุคคลธรรมดาที่ไม่มีคุณสมบัติที่เสื่อมเสียและน่ารังเกียจ เช่น เป็นโรคด่าง ขโมย นินทาผู้อื่น และรับโองการจากองค์อัลลอฮ์มาปฏิบัติแต่เพียงลำพัง
รซู้ล คือ บุคคลที่องค์อัลลอฮ์ทรงเลือกเฟ้นมาจากเหล่านบีที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยม ไม่มีคุณสมบัติที่เสื่อมเสียและน่ารังเกียจ รับโองการมาเพื่อปฏิบัติแก่ตัวเองและเผยแพร่แก่ผู้อื่น (เผ่าชนของตน แต่สำหรับนบี มูฮัมหมัดต้องเผยแพร่ไปทั่วโลก)
บรรดา นบี มีจำนวน 124,000 คน
บรรดา รซู้ล มีจำนวน ตามทัศนะที่ต่างกัน คือ 313, 314, 315 คน และบางทัศนะกล่าวว่า อัลลอฮ์เท่านั้นที่ทรงรอบรู้
อูลุลอัซมี คือบรรดา รซู้ล ที่มีความประเสริฐยิ่ง มีอยู่ 5 ท่าน คือ:-
1. นบี อิบรอฮีม (อ)
2. นบี นูฮ (อ) โนอาร์
3. นบี มูซา (อ) โมเสส
4. นบี อีซา (อ) เยซู
5. นบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.)
คุณสมบัติที่พึง(ต้อง)มีแก่บรรดา รซู้ล มี 4 ประการ
1. อัส-สิดดีก คือ สัจจะ
2. อัล-อามานะห์ คือ เป็นที่ไว้วางใจได้
3. อัต-ตับลีฆ คือ การนำบทบัญญัติออกเผยแพร่
4. อัล-ฟาตอนะห์ คือ ฉลาดรอบรู้
ใบงาน กลุ่มที่ 3
สมาชิกในกลุ่มมีดังนี้ คือ:-
1. นาย มะหะดี หัดขะเจ
2. นาย อรุณ ดลล่าเต๊ะ
3. นาย จีระพงศ์ หน่อทอง
4. นาย นูรุดดีน สาเร๊ะ
5. นาย อังคาร ตุลโน
6. นาย การียา สามะ
รู่ก่นที่3 หลักการศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ของพระองค์(อัลลอฮ์)
เราต้องศรัทธาว่าบรรดาคัมภีร์ที่ถูกประทานมานั้นมาจากพระองค์(อัลลอฮ์)ทั้งสิ้น และต้องเชื่อในสิ่งที่ระบุไว้ในคัมภีร์ และต้องปฏิบัติตามข้อบัญญัติที่ระบุไว้ในคัมภีร์(ปัจจุบันคือ อัล กุร-อ่าน)
ในบรรดาคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมาทั้งหมด มีจำนวน 104 เล่ม และที่สำคัญยิ่งมีอยู่ 4 เล่ม คือ:-
1. เตารอต ทรงประทานให้แก่ นบี มูซา (อ) โมเสส
2. ซาบูร ทรงประทานให้แก่ นบี ดาวูด (อ) เดวิด
3. อินญีล ทรงประทานให้แก่ นบี อีซา (อ) พระเยซู
4. อัล กุร-อ่าน ทรงประทานให้แก่ นบี มูฮัมหมัด (ซ.ล)
ช่วงเวลาของการประทานคัมภีร์ที่สำคัญ
1. เตารอต ถูกประทานมาในช่วงเวลาเพียง 6 คืนของรอมฏอน หลังซูฮุฟ 700 ปี
2. ซาบูร ถูกประทานมาในช่วงเวลาเพียง 12 คืนของรอมฏอน หลัง เตารอต 500 ปี
3. อินญีล ถูกประทานมาในช่วงเวลาเพียง 18 คืนของรอมฏอน หลัง ซาบูร 1200 ปี
4. อัล กุร-อ่าน ถูกประทานลงมาในคืนที่ 27 ของเดือนรอมฏอน หลัง อินญีล 620 ปี
ในส่วนของ อัล กุร-อ่านถูกประทานลงมาแบบเรื่อยๆ ตามสภาพปัญหาและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ใช้เวลาทั้งสิ้น 23 ปี
รูก่นที่ 4 หลักการศรัทธาต่อบรรดา รซู้ล ของอัลลอฮ์
นบี คือบุคคลที่องค์อัลลอฮ์ทรงเลือกเฟ้นมาจากบุคคลธรรมดาที่ไม่มีคุณสมบัติที่เสื่อมเสียและน่ารังเกียจ เช่น เป็นโรคด่าง ขโมย นินทาผู้อื่น และรับโองการจากองค์อัลลอฮ์มาปฏิบัติแต่เพียงลำพัง
รซู้ล คือ บุคคลที่องค์อัลลอฮ์ทรงเลือกเฟ้นมาจากเหล่านบีที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยม ไม่มีคุณสมบัติที่เสื่อมเสียและน่ารังเกียจ รับโองการมาเพื่อปฏิบัติแก่ตัวเองและเผยแพร่แก่ผู้อื่น (เผ่าชนของตน แต่สำหรับนบี มูฮัมหมัดต้องเผยแพร่ไปทั่วโลก)
บรรดา นบี มีจำนวน 124,000 คน
บรรดา รซู้ล มีจำนวน ตามทัศนะที่ต่างกัน คือ 313, 314, 315 คน และบางทัศนะกล่าวว่า อัลลอฮ์เท่านั้นที่ทรงรอบรู้
อูลุลอัซมี คือบรรดา รซู้ล ที่มีความประเสริฐยิ่ง มีอยู่ 5 ท่าน คือ:-
1. นบี อิบรอฮีม (อ)
2. นบี นูฮ (อ) โนอาร์
3. นบี มูซา (อ) โมเสส
4. นบี อีซา (อ) เยซู
5. นบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.)
คุณสมบัติที่พึง(ต้อง)มีแก่บรรดา รซู้ล มี 4 ประการ
1. อัส-สิดดีก คือ สัจจะ
2. อัล-อามานะห์ คือ เป็นที่ไว้วางใจได้
3. อัต-ตับลีฆ คือ การนำบทบัญญัติออกเผยแพร่
4. อัล-ฟาตอนะห์ คือ ฉลาดรอบรู้
ใบงาน กลุ่มที่ 3
สมาชิกในกลุ่มมีดังนี้ คือ:-
1. นาย มะหะดี หัดขะเจ
2. นาย อรุณ ดลล่าเต๊ะ
3. นาย จีระพงศ์ หน่อทอง
4. นาย นูรุดดีน สาเร๊ะ
5. นาย อังคาร ตุลโน
6. นาย การียา สามะ
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553
โครงการการสัมมนาวิชาการบทบาทนักศึกษาวิทยาลัยชุมชนสงขลา
โครงการการสัมมนาวิชาการบทบาทนักศึกษาวิทยาลัยชุมชนสงขลา
ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ผ่านวิชาความจริงของชีวิต
กำหนดการ
7.30-8.30 ลงทะเบียน
ผู้รับผิดชอบ
1.นางสาวมารีนา หมะหมุ
2.นางสาวอณิตา สาและ
8.30-8.45 ประธานกล่าวรายงานวัตถุประสงค์สัมมนา
1.นางสาวโสภิดา วงศ์จันทราสกุล
9.00-9.15 อาจารย์ที่ปรึกษากล่าวเปิดสัมมนา
9.15-10.15สัมมนาวิชาการในหัวข้อ บทบาทนักศึกษาวิทยาลัยชุมชนสงขลาในการแก้ปัญหา
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผ่านวิชาความจริงของชีวิต
ผู้ดำเนินการ
1.อาจารย์เตาเหด เจะหนิ
2.อาจารย์มะหะดี หัดขะเจ
3.อาจารย์โสภิดา วงศ์จันทราสกุล
4.อาจารย์นูรุดดีน สาเร๊ะ
10.15-10.30 พัก
10.30-11.15 แบ่ง Swot
กลุ่มที่ 1. 1.อิสมาแอ เจะกอมะ
2.นายดลลาซิ หัสมัด
3.นายดลลาซิ หลีล่าสัน
4.นายฮานาฟี ประสิทธิ์หิมะ
5.นายฮาเลง หามะ
6.นายอิลยัซ ฮอมะแอ
7.นายสังกอเดช บัตรหมะ
กลุ่มที่ 2. 1.นางสาวอารม นูนวงศ์
2.นางสาวกัลยา บือราเฮง
3.นางสาวนิวฟิรดา ดอเลาะ
4.นางสาวโสภิดา วงศ์จันทราสกุล
5.นางสาวอณิตา สาและ
6.นายอารีย์ฟีน รับประยูร
กลุ่มที่ 3. 1.นายฟูอาร์ต ล่าเหม
2.นายรอนิง หมานหมีน
3.นายชยันต์ แก้วบุษบา
4.นายบือราเหม จงรักศักดิ์
5.นางสาวกรรณิการ์ มารัดยูโส๊ะ
6.นายอดุลย์ หมัดหลาเต๊ะ
7.นายเฉลิมวุฒิ กาวิราวรรณ์
8.นายอับดุลฮากีม ดนหวัง
กลุ่มที่ 4. 1.นางสาวนัฎฐ์วรินทร์ เกื้อภาระ
2.นางสาวโสรัยนา เสะยามา
3.นางนิดา ละซอ
4.นางสาวละออง ทองยามี
5.นางสาววรรณนิตา หะปูเต๊ะ
6.นายมานัต อุมา
กลุ่มที่ 5. 1.นายอังคาร ตุลโน
2.นายการียา สามะ
3.นายจีราศักดิ์ ดอเลาะ
4.นายบูรอฮัน หวันหนิ
5.นายอรุณ ดลลาเต๊ะ
6.นายอัมรอน สะมะแอ
กลุ่มที่ 6. 1.นางสาวฮันนา หลงมีหนา
2.นางสาวซารีฝ๊ะ แสงรายา
3.นางสาวมารีนา หมะหมุ
4.นางสาวไตยีบ๊ะ สิงหาด
5.นางสาวอชิรญา ยี่หรัน
6.นายเตาะเหด เจะหนิ
7.นายธีรยุทธ์ เจะหมัด
8.นายมนัส มะเนาะ
กลุ่มที่ 7. 1.นายอานนท์ ระยะหลง
2.นายนูรุดดีน สาเร๊ะ
3.นายจิรพงศ์ หน่อทอง
4.นายมะหะดี หัดขะเจ
5.นายวงวุฒิ บาเห็ม
6.นายคาร์เดอร์ริน ยูนุ
กลุ่มที่ 8. 1.นางโสภิต ศรีสุวรรณ
2.นางคอซีย๊ะ เจะดุหมัน
3.นางฟะรีดา สะอิ
4.นางโสภี ฮะซา
5.นางผารีด๊ะ หวันโส๊ะ
6.นายศุภกร สิทธิศักดิ์
7.นายยูฮารี มันได้เจะ
กองเลขานุการ
1. นางสาวกัลยา บือราเฮง และคณะ
2. นางสาวโสรัยนา เสะยามา
3. นางสาวนิวฟิรดา ดอเลาะ
4. นางสาววรรณนิตา หะปูเต๊ะ
5. นางนิดา ละซอ
6. นางสาวละออง ทองยามี
7. นายอรุณ ดลลาเต๊ะ
8. นายการียา สามะ
9. นายมานัต อุมา
10. นายอารีฟีน รับประยูร
ฝ่ายเทคนิค
1. นายจิรพงค์ หน่อทอง
2. นายจีราศักดิ์ ดอเลาะ
3. นายบูรอฮัน หวันหนิ
4. นายอัมรอน สะมะแอ
5. นายคารเดอร์ริน ยูนุ
ฝ่ายปฏิคม
1. นายวงศ์วุฒิ บาเห็ม
2. นางสาวไตยีบ๊ะ สิงหาด
3. นายศุภกร สิทธิศักดิ์
ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ผ่านวิชาความจริงของชีวิต
กำหนดการ
7.30-8.30 ลงทะเบียน
ผู้รับผิดชอบ
1.นางสาวมารีนา หมะหมุ
2.นางสาวอณิตา สาและ
8.30-8.45 ประธานกล่าวรายงานวัตถุประสงค์สัมมนา
1.นางสาวโสภิดา วงศ์จันทราสกุล
9.00-9.15 อาจารย์ที่ปรึกษากล่าวเปิดสัมมนา
9.15-10.15สัมมนาวิชาการในหัวข้อ บทบาทนักศึกษาวิทยาลัยชุมชนสงขลาในการแก้ปัญหา
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผ่านวิชาความจริงของชีวิต
ผู้ดำเนินการ
1.อาจารย์เตาเหด เจะหนิ
2.อาจารย์มะหะดี หัดขะเจ
3.อาจารย์โสภิดา วงศ์จันทราสกุล
4.อาจารย์นูรุดดีน สาเร๊ะ
10.15-10.30 พัก
10.30-11.15 แบ่ง Swot
กลุ่มที่ 1. 1.อิสมาแอ เจะกอมะ
2.นายดลลาซิ หัสมัด
3.นายดลลาซิ หลีล่าสัน
4.นายฮานาฟี ประสิทธิ์หิมะ
5.นายฮาเลง หามะ
6.นายอิลยัซ ฮอมะแอ
7.นายสังกอเดช บัตรหมะ
กลุ่มที่ 2. 1.นางสาวอารม นูนวงศ์
2.นางสาวกัลยา บือราเฮง
3.นางสาวนิวฟิรดา ดอเลาะ
4.นางสาวโสภิดา วงศ์จันทราสกุล
5.นางสาวอณิตา สาและ
6.นายอารีย์ฟีน รับประยูร
กลุ่มที่ 3. 1.นายฟูอาร์ต ล่าเหม
2.นายรอนิง หมานหมีน
3.นายชยันต์ แก้วบุษบา
4.นายบือราเหม จงรักศักดิ์
5.นางสาวกรรณิการ์ มารัดยูโส๊ะ
6.นายอดุลย์ หมัดหลาเต๊ะ
7.นายเฉลิมวุฒิ กาวิราวรรณ์
8.นายอับดุลฮากีม ดนหวัง
กลุ่มที่ 4. 1.นางสาวนัฎฐ์วรินทร์ เกื้อภาระ
2.นางสาวโสรัยนา เสะยามา
3.นางนิดา ละซอ
4.นางสาวละออง ทองยามี
5.นางสาววรรณนิตา หะปูเต๊ะ
6.นายมานัต อุมา
กลุ่มที่ 5. 1.นายอังคาร ตุลโน
2.นายการียา สามะ
3.นายจีราศักดิ์ ดอเลาะ
4.นายบูรอฮัน หวันหนิ
5.นายอรุณ ดลลาเต๊ะ
6.นายอัมรอน สะมะแอ
กลุ่มที่ 6. 1.นางสาวฮันนา หลงมีหนา
2.นางสาวซารีฝ๊ะ แสงรายา
3.นางสาวมารีนา หมะหมุ
4.นางสาวไตยีบ๊ะ สิงหาด
5.นางสาวอชิรญา ยี่หรัน
6.นายเตาะเหด เจะหนิ
7.นายธีรยุทธ์ เจะหมัด
8.นายมนัส มะเนาะ
กลุ่มที่ 7. 1.นายอานนท์ ระยะหลง
2.นายนูรุดดีน สาเร๊ะ
3.นายจิรพงศ์ หน่อทอง
4.นายมะหะดี หัดขะเจ
5.นายวงวุฒิ บาเห็ม
6.นายคาร์เดอร์ริน ยูนุ
กลุ่มที่ 8. 1.นางโสภิต ศรีสุวรรณ
2.นางคอซีย๊ะ เจะดุหมัน
3.นางฟะรีดา สะอิ
4.นางโสภี ฮะซา
5.นางผารีด๊ะ หวันโส๊ะ
6.นายศุภกร สิทธิศักดิ์
7.นายยูฮารี มันได้เจะ
กองเลขานุการ
1. นางสาวกัลยา บือราเฮง และคณะ
2. นางสาวโสรัยนา เสะยามา
3. นางสาวนิวฟิรดา ดอเลาะ
4. นางสาววรรณนิตา หะปูเต๊ะ
5. นางนิดา ละซอ
6. นางสาวละออง ทองยามี
7. นายอรุณ ดลลาเต๊ะ
8. นายการียา สามะ
9. นายมานัต อุมา
10. นายอารีฟีน รับประยูร
ฝ่ายเทคนิค
1. นายจิรพงค์ หน่อทอง
2. นายจีราศักดิ์ ดอเลาะ
3. นายบูรอฮัน หวันหนิ
4. นายอัมรอน สะมะแอ
5. นายคารเดอร์ริน ยูนุ
ฝ่ายปฏิคม
1. นายวงศ์วุฒิ บาเห็ม
2. นางสาวไตยีบ๊ะ สิงหาด
3. นายศุภกร สิทธิศักดิ์
วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553
รายงาน อ.ระโนด จ.สงขลา
1.
อำเภอ ระโนด
1. สถานที่ตั้งของอำเภอ
ตอบ
เทศบาลตำบลระโนด ตั้งอยู่ ถนนชายวารี ตำบลระโนด อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เป็นอำเภอที่ตั้งอยู่เหนือสุดของจังหวัดสงขลา มีอาณาเขตติดต่อกับอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถยนต์ประมาณ 950 กิโลเมตร
อาณาเขต
ทิศเหนือ ตั้งแต่หลักเขตที่ 1 ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของคลองไผ่ อยู่ห่างจากคลอง ระโนดไปทางทิศเหนือเป็นระยะทาง 200 เมตร จากหลักเขตที่ 1 เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกถึงฝั่งตะวันออกของคลองระโนด ห่างจากคลองปากแตระ 500 เมตร
ทิศตะวันออก จากหลักเขตที่ 2 เลียบฝั่งตะวันออกของคลองระโนดไปทาวทิศใต้เป็นระยะทาง 400 เมตร แล้วเป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ห่างจากศูนย์กลางถนนปากแตระ – ระโนด ไปทางทิศใต้เป็นระยะทาง 280 เมตร ซึ่งเป็นหลักเขตที่ 3
ทิศใต้ จากหลักเขตที่ 3 เป็นเส้นขนานกับถนนสายปากแตระ – ระโนด ไปทางทิศตะวันออกจนจดกับฝั่งตะวันตกของคลองโภคา (คลองอาทิตย์) เป็นหลักเขตที่ 4
ทิศตะวันตก จากหลักเขตที่ 4 เลียบฝั่งตะวันตกของคลองโภคา (คลองอาทิตย์) และคลองไผ่ไปทางทิศเหนือจนบรรจบกับหลักเขตที่ 1
2. ประวัติของอำเภอ
ตอบ
อำเภอระโนดเป็นอำเภอที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรสะทิงพระเดิมเป็นส่วนหนึ่งของเมืองสะทิงพระ (เมืองพัทลุงเก่า) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ไปขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 จึงได้กลับมาขึ้นกับเมืองสงขลา เมื่อมีการจัดการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล ได้ยุบเมืองระโนด ตั้งเป็นกิ่งอำเภอระโนดและได้เริ่มก่อสร้างที่ว่าการอำเภอระโนดหลังแรกคู่กับสถานีตำรวจในปี พ.ศ.2466 และในปี พ.ศ.2467 กิ่งอำเภอระโนดได้ยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอระโนด ประกอบด้วย 13 ตำบล
ในปี พ.ศ.2492 - 2493 ประชาชนอำเภอระโนดได้ร่วมกันสร้างที่ว่าการอำเภอ (ที่ใช้ทำการในปัจจุบัน) ใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี โดยการร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องประชาชนชาวระโนดภายใต้การนำของนายอำเภอจรูญ โลกะกะสิน โดยไม่ได้ใช้งบประมาณของทางราชการแต่อย่างใด เป็นอาคารที่ทำการอำเภอระโนด ที่ชาวอำเภอระโนดทุกคนมีความภาคภูมิใจและกล่าวขานกันมาจนถึงทุกวันนี้
ในปีงบประมาณ 2538 ทางราชการได้จัดสรรงบประมาณเป็นการก่อสร้างอาคารที่ว่าการอำเภอระโนดหลังใหม่ เนื่องจากพื้นที่ ในที่ตั้งที่ว่าการอำเภอระโนดหลังเก่ามีความคับแคบไม่สะดวก ไม่
2.
เพียงพอสำหรับการให้บริการประชาชน รวมทั้ง การใช้พื้นที่ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของอำเภอ พี่น้องประชาชนชาวอำเภอระโนด จึงได้รวบรวมที่ดินประมาณ 75 ไร่ บริจาคให้กับทางราชการ เพื่อใช้เป็นที่ก่อสร้างที่ว่าการอำเภอระโนดหลังใหม่ ซึ่งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอระโนดหลังเก่าไปทางทิศทางใต้ ระยะทาง ประมาณ 1.5 กม. และได้เริ่มก่อสร้างในตัวอาคารจนแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2540 แต่ยังไม่สามารถเปิดบริการได้เนื่องจากยังขาดสิ่งสาธารณูปโภค ตลอดจนเครื่องใช้สำนักงาน และการปรับปรุงภูมิทัศน์ต่าง ๆ ดังนั้น พี่น้องประชาชนชาวอำเภอระโนดจึงได้ร่วมแรงร่วมใจ กันอีกครั้งในการช่วยกันบริจาคทั้งเงิน และทรัพย์สินต่าง ๆ จนทำให้ที่ว่าการอำเภอระโนดหลังใหม่นี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์และพร้อมที่จะบริการประชาชนได้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2541
จะเห็นได้ว่าอาคารที่ว่าการอำเภอระโนดทั้งหลังเก่า และหลังใหม่นั้นมีความคล้ายคลึงกัน ในเรื่องของการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชน ถึงแม้จะมีความแตกต่างในยุคสมัยก็ตามแต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงมีอยู่สำหรับชาวระโนดคือ ความพร้อมเพรียงและเสียสละในส่วนรวม จึงได้ขนานนามที่ว่าการอำเภอระโนดทั้งเก่าและใหม่ว่า ศูนย์รวมใจของชาวระโนด
3. สภาพภูมิศาสตร์
ตอบ
- ลักษณะภูมิประเทศ
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม ฤดูฝนมักเกิดน้ำท่วมฉับพลันทุกปี และในฤดูร้อนหรือหน้าแล้งมักขาดแคลนน้ำ มีลำคลองระโนดเป็นแนวเขตกั้นระหว่างหมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 6 ของอำเภอ ระโนด ในเขตเทศบาลมีลำคลอง 4 สาย คือ คลองระโนด , คลองโภคา (คลองอาทิตย์)ซึ่งเป็นลำคลองแบ่งอาณาเขตของหมู่ที่ 3 กับหมู่ที่ 4 ของตำบลระโนด , คลองไสร้า และคลองไผ่
- ลักษณะภูมิอากาศ
ระโนดตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบมรสุมเมืองร้อน แต่อากาศไม่ร้อนจัด เนื่องจากอิทธิพลของทะเล แบ่งเป็น 2 ฤดูกาล คือ
ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม ระยะนี้เป็นช่วงว่างของ ฤดูมรสุม หลังจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว อากาศจะเริ่มร้อนและอากาศจะร้อนที่สุดในเดือนเมษายน แต่ก็ไม่ร้อนนักเนื่องจากอยู่ใกล้ทะเล และได้รับอิทธิพลจากกระแสลมและไอน้ำทำให้อากาศร้อนเบาบางลง
ฤดูฝน แบ่งเป็น 2 ช่วงคือ
ช่วงแรก คือจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ในช่วงดังกล่าวตอนเช้าจะมีเมฆบางส่วนและจะก่อตัวทวีสูงขึ้นในช่วงบ่าย ทำให้เกิดฝนตกในช่วงบ่ายถึงค่ำ จะมีลักษณะเป็นฝนฟ้าคะนอง จะมีลมกรรโชกแรงเป็นครั้งคราว ในขณะที่ฝนตก
3.
ช่วงที่สอง จะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม เนื่องจากได้รับอิทธิพลจาก มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงนี้ฝนจะตกอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน และฝนตกทั่วไป ฝนจะตกหนักถึงหนักมากเป็นบางช่วง
- อุณหภูมิ
จังหวัดสงขลา ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลด้านตะวันออกของภาคใต้ และได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดมาจากมหาสมุทรอินเดีย และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งพัดผ่านอ่าวไทยทำให้นำเอาไอน้ำและความชุ่มชื้นพัดผ่านจังหวัดสงขลา ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยไม่สูงมากนัก อากาศไม่ร้อนจัด ในฤดูร้อนอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี ประมาณ 28.10 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 31.40 องศาเซลเซียส
4. คำขวัญหรือวิสัยทัศน์
ตอบ
- คำขวัญคือ:-
ทุ่งรวงทอง นองลูกตาล ตำนานแห่งเจดีย์ พื้นที่แหล่งนากุ้ง
- วิสัยทัศน์คือ:-
เมืองน่าอยู่ ชุมชนน่าอาศัย แหล่งรวมการค้า คมนาคมสะดวก การศึกษาก้าวไกล อนุรักษ์งาน ประเพณี พื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสองทะเล
5. แผนยุทธศาสตร์พัฒนาอำเภอ
ตอบ
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการและโครงสร้างพื้นฐาน
- ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการบริหารและจัดการด้านสาธารณสุข และการส่งเสริมคุณภาพ ชีวิตของประชาชน
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการเมืองการบริหาร
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการศึกษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน
6. ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี แหล่งท่องเที่ยว โบราณสถาน โบราณวัตถุ และอื่นๆ
ตอบ
4.
- ด้านศิลปวัฒนธรรมคือ การแสดงโนรา และการแสดงหนังตะลุง จะมีการแสดงอยู่ทั่วๆไปตามงานต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานโกนจุก งานบวช และการแก้บนต่างๆ เป็นต้น
- ด้านประเพณีคือ
- ประเพณีลากพระและตักบาตรเทโว จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 (ตุลาคม) และอื่นๆ เช่น ประเพณีลอยกระทง ประเพณีสงกรานต์ พิธีหล่อเทียนและสมโภชน์เทียนพรรษา เทศกาลกินเจ งานสมโภชน์พระแม่โพสพ งานรำลึกศิลปินแห่งชาติ(โนราห์ยก ชูบัว)
- การกินวาน คืองานที่เจ้าภาพออกปากให้เพื่อนบ้านไปช่วยกันลงแรงทำงานให้ตน เช่น ออกปากเก็บข้าว (เกี่ยวข้าว) หาบข้าว หามเริน (เรือน) เป็นต้น คล้ายกับการลงแขกของภาคกลาง เจ้าภาพจะต้องจัดเตรียมอาหารคาวหวานไว้เลี้ยงผู้ที่ไปช่วยทำงานทุกคน เรียกประเพณีนี้ว่า ออกปาก-กินวาน การกินวาน มีขึ้นได้หลายโอกาสถือเป็นงานสำคัญ และเป็นหน้าที่ของญาติมิตรที่จะต้องไปช่วยเหลือเช่น งานศพ งานบวช งานแต่งงาน ซึ่งเจ้าภาพจะต้องเลี้ยงดูผู้ที่มาร่วมงานให้ทั่วหน้า ต้องปลูกสร้างโรงครัวและโรงเลี้ยงขึ้นเป็นพิเศษ เวลากลับเจ้าภาพก็จะจัดข้าวเหนียวไห้นำกลับไปด้วย
- การกินแขก หมายถึงงานที่ออกบัตรเชิญหรือบอกกล่าวด้วยวาจาเรียกว่า บอกแขก บางแห่งเรียกว่า งานกินน้ำชา เป็นการจัดงานให้ผู้รับเชิญมีส่วนรวมในการช่วยเหลือด้านเงินทอง เช่น ต้องการทุนให้ลูกไปศึกษาต่อ เมื่อกินเลี้ยงแล้วแขกรวบรวมเงินเป็นของกำนัลแก่เจ้าภาพ
- แหล่งท่องเที่ยว:-
วัดท่าบอน เป็นวัดที่เก่าแก่มาแต่ดั้งเดิม มีเจ้าอาวาสเป็นที่เคารพของคนทั่วไป และมีการจัดทำเหรียญไว้บูชา ไว้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของคนในหมู่บ้านและประชาชนใกล้เคียง
ชายหาดวัดศาลาหลวงบน เป็นชายหาดทรายขาว โดยมีวัดศาลาหลวงบนเป็นทางผ่านไปยังตัวชายหาด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของตำบลท่าบอน
ริมทะเลสาบบ้านใหม่ อยู่ติดทะเลสาบ นั่งชมนก ชมธรรมชาติ มีร้านอาหาร อยู่ที่หมู่ที่ 2และหมู่ที่3 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอระโนด
- โบราณสถาน มี:-
- วัดท่าบอน และนอกจากนี้ก็มีโบราณสถานที่เกี่ยวกับโบราณคดีอยู่หลายแห่งคือ:-
แหล่งโบราณคดีท่าบอน บ้านท่าบอน ตำบลท่าบอน
แหล่งโบราณคดีบ้านโคกทอง หมู่ที่ ๕ ตำบลระโนด
แหล่งโบราณคดีบ้านมะขามเฒ่า ตำบลระโนด
กลุ่มชุมชนโบราณพังยาง เป็นชุมชนโบราณในเขตตำบลพังยาง อำเภอระโนด
5.
บริเวณลุ่มน้ำคลองพังยาง คลองโภคา และคลองบ้านโพธิ์ (คลองโภคา) ประกอบด้วยแหล่ง โบราณคดีสำคัญได้แก่
แหล่งโบราณคดีวัดขุนช้าง-บ้านสามี ตำบลพังยาง อำเภอระโนด ตั้งอยู่บนเส้นทรายริ้วใน มีพัง ขุนช้าง สระบ้านสามี และคลองบ้านโพธิ์เป็นเส้นทางน้ำที่สำคัญ
แหล่งโบราณคดีเมืองพังยาง บ้านพังยาง ตำบลพังยาง อำเภอระโนด
กลุ่มชุมชนโบราณบ้านสีหยัง-เจดีย์งาม เป็นชุมชนในเขตตำบลบ่อตรุ อำเภอระโนด
แหล่งโบราณคดีบ้านเจดีย์งาม ตำบลบ่อตรุ อำเภอระโนด
- โบราณวัตถุมี
- เรือโบราณ
เป็นเรือโบราณ ที่จมอยู่ในทะเลสาบสงขลา ที่ความลึก 3 ฟุต สร้างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีการค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2542 และได้เคลื่อนย้ายขึ้นฝั่ง เมื่อวันที่ 24 เดือน เมษายน พ.ศ. 2546
- เครื่องเคลือบลายคราม สมัยราชวงศ์หมิงของจีน
7. อาชีพ
ตอบ
- ทำนา
- การทำประมง
- การค้าขาย
และมีอาชีพเสริมอยู่หลายอย่าง เช่น การเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
8. ภูมิปัญญาท้องถิ่น และบุคคลสำคัญของอำเภอ
ตอบ
ภูมิปัญญาท้องถิ่นคือ:-
- จะเกี่ยวกับการเป็นอยู่ที่เรียบง่าย อาหารการกินจะรสจัด คือเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด ถ้าเป็นแกงมักใส่กะทิ และเครื่องแกงจะมีขมิ้น ซึ่งคนในสมัยก่อนจะเชื่อว่าขมิ้นคือ พญายา เป็นสมุนไพรแก้ได้หลายโรค
- ด้านศิลปะ วัฒนธรรมก็จะมี หนังตะลุงและรำมโนราห์
- และคนแก่ๆมักจะรู้วิธีการจักสานเป็นอย่างดี ซึ่งจะตกทอดมาสู่ลูกหลานแค่ไหนนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของคนในพื้นที่เป็นสำคัญ
6.
บุคคลสำคัญ เท่าที่มีข้อมูลอยู่จะเจอแค่สองท่าน ท่านแรกคือ โนราห์ยก ชูบัว ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ และอีกท่านคือ ครู อิ่ม จันทร์ชุมท่านมีความสำคัญ เพราะเป็นผู้ทรงปัญญาด้านศิลปกรรม(หนังตะลุง)
9. อื่นๆที่เหมาะสม เช่น ผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
ตอบ
ผลิตภัณฑ์ ก็จะมี
- แจกันจากก้านธูป โดยกลุ่มจักสานจากเส้นใยพืชบ้าน ท่าบอน วัดท่าบอน หมู่ที่ 3
- แจกันเชือกกล้วย โดยกลุ่มจักสานจากเส้นใยพืช บ้านท่าบอนเหมือนกัน
7.
ภาคผนวก
1. แผนที่อำเภอ
2. สถานที่สำคัญของอำเภอระโนด
ตอบ
- วัดท่าบอน เป็นวัดเก่าแก่ เป็นที่นับถือของชาวระโนด
- ชายหาดวัดศาลาหลวงบน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของคนในพื้นที่และบุคคลทั่วไป อยู่ที่ตำบล ท่าบอน
3. ความเหมาะสมนอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว
ตอบ
การปกครองส่วนท้องถิ่น
ท้องที่อำเภอระโนดประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 12 แห่ง ได้แก่
8.
เทศบาลตำบลบ่อตรุ ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลบ่อตรุ บางส่วนของตำบลระวะ และบางส่วนของตำบลวัดสน
เทศบาลตำบลระโนด ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลระโนด
องค์การบริหารส่วนตำบลระโนด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลระโนด (นอกเขตเทศบาลตำบลระโนด)
องค์การบริหารส่วนตำบลคลองแดน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลคลองแดนทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลตะเครียะ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลตะเครียะทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลท่าบอน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลท่าบอนทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านใหม่ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ้านใหม่ทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลปากแตระ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลปากแตระทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลพังยาง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลพังยางทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลระวะ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลระวะ (นอกเขตเทศบาลตำบลบ่อตรุ)
องค์การบริหารส่วนตำบลวัดสน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ่อตรุและตำบลวัดสน (นอกเขต เทศบาลตำบลบ่อตรุ
องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านขาว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ้านขาวทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลแดนสงวน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแดนสงวนทั้งตำบล
4. เส้นทางคมนาคม และรถโดยสาร
ตอบ
- ทางบกได้แก่ ถนนสาย สงขลา – นครศรีธรรมราช
- โดยรถโดยสารสาย สงขลา – ระโนด และ สงขลา – นครศรีธรรมราช
อำเภอ ระโนด
1. สถานที่ตั้งของอำเภอ
ตอบ
เทศบาลตำบลระโนด ตั้งอยู่ ถนนชายวารี ตำบลระโนด อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เป็นอำเภอที่ตั้งอยู่เหนือสุดของจังหวัดสงขลา มีอาณาเขตติดต่อกับอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถยนต์ประมาณ 950 กิโลเมตร
อาณาเขต
ทิศเหนือ ตั้งแต่หลักเขตที่ 1 ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของคลองไผ่ อยู่ห่างจากคลอง ระโนดไปทางทิศเหนือเป็นระยะทาง 200 เมตร จากหลักเขตที่ 1 เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกถึงฝั่งตะวันออกของคลองระโนด ห่างจากคลองปากแตระ 500 เมตร
ทิศตะวันออก จากหลักเขตที่ 2 เลียบฝั่งตะวันออกของคลองระโนดไปทาวทิศใต้เป็นระยะทาง 400 เมตร แล้วเป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ห่างจากศูนย์กลางถนนปากแตระ – ระโนด ไปทางทิศใต้เป็นระยะทาง 280 เมตร ซึ่งเป็นหลักเขตที่ 3
ทิศใต้ จากหลักเขตที่ 3 เป็นเส้นขนานกับถนนสายปากแตระ – ระโนด ไปทางทิศตะวันออกจนจดกับฝั่งตะวันตกของคลองโภคา (คลองอาทิตย์) เป็นหลักเขตที่ 4
ทิศตะวันตก จากหลักเขตที่ 4 เลียบฝั่งตะวันตกของคลองโภคา (คลองอาทิตย์) และคลองไผ่ไปทางทิศเหนือจนบรรจบกับหลักเขตที่ 1
2. ประวัติของอำเภอ
ตอบ
อำเภอระโนดเป็นอำเภอที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรสะทิงพระเดิมเป็นส่วนหนึ่งของเมืองสะทิงพระ (เมืองพัทลุงเก่า) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ไปขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 จึงได้กลับมาขึ้นกับเมืองสงขลา เมื่อมีการจัดการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล ได้ยุบเมืองระโนด ตั้งเป็นกิ่งอำเภอระโนดและได้เริ่มก่อสร้างที่ว่าการอำเภอระโนดหลังแรกคู่กับสถานีตำรวจในปี พ.ศ.2466 และในปี พ.ศ.2467 กิ่งอำเภอระโนดได้ยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอระโนด ประกอบด้วย 13 ตำบล
ในปี พ.ศ.2492 - 2493 ประชาชนอำเภอระโนดได้ร่วมกันสร้างที่ว่าการอำเภอ (ที่ใช้ทำการในปัจจุบัน) ใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี โดยการร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องประชาชนชาวระโนดภายใต้การนำของนายอำเภอจรูญ โลกะกะสิน โดยไม่ได้ใช้งบประมาณของทางราชการแต่อย่างใด เป็นอาคารที่ทำการอำเภอระโนด ที่ชาวอำเภอระโนดทุกคนมีความภาคภูมิใจและกล่าวขานกันมาจนถึงทุกวันนี้
ในปีงบประมาณ 2538 ทางราชการได้จัดสรรงบประมาณเป็นการก่อสร้างอาคารที่ว่าการอำเภอระโนดหลังใหม่ เนื่องจากพื้นที่ ในที่ตั้งที่ว่าการอำเภอระโนดหลังเก่ามีความคับแคบไม่สะดวก ไม่
2.
เพียงพอสำหรับการให้บริการประชาชน รวมทั้ง การใช้พื้นที่ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของอำเภอ พี่น้องประชาชนชาวอำเภอระโนด จึงได้รวบรวมที่ดินประมาณ 75 ไร่ บริจาคให้กับทางราชการ เพื่อใช้เป็นที่ก่อสร้างที่ว่าการอำเภอระโนดหลังใหม่ ซึ่งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอระโนดหลังเก่าไปทางทิศทางใต้ ระยะทาง ประมาณ 1.5 กม. และได้เริ่มก่อสร้างในตัวอาคารจนแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2540 แต่ยังไม่สามารถเปิดบริการได้เนื่องจากยังขาดสิ่งสาธารณูปโภค ตลอดจนเครื่องใช้สำนักงาน และการปรับปรุงภูมิทัศน์ต่าง ๆ ดังนั้น พี่น้องประชาชนชาวอำเภอระโนดจึงได้ร่วมแรงร่วมใจ กันอีกครั้งในการช่วยกันบริจาคทั้งเงิน และทรัพย์สินต่าง ๆ จนทำให้ที่ว่าการอำเภอระโนดหลังใหม่นี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์และพร้อมที่จะบริการประชาชนได้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2541
จะเห็นได้ว่าอาคารที่ว่าการอำเภอระโนดทั้งหลังเก่า และหลังใหม่นั้นมีความคล้ายคลึงกัน ในเรื่องของการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชน ถึงแม้จะมีความแตกต่างในยุคสมัยก็ตามแต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงมีอยู่สำหรับชาวระโนดคือ ความพร้อมเพรียงและเสียสละในส่วนรวม จึงได้ขนานนามที่ว่าการอำเภอระโนดทั้งเก่าและใหม่ว่า ศูนย์รวมใจของชาวระโนด
3. สภาพภูมิศาสตร์
ตอบ
- ลักษณะภูมิประเทศ
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม ฤดูฝนมักเกิดน้ำท่วมฉับพลันทุกปี และในฤดูร้อนหรือหน้าแล้งมักขาดแคลนน้ำ มีลำคลองระโนดเป็นแนวเขตกั้นระหว่างหมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 6 ของอำเภอ ระโนด ในเขตเทศบาลมีลำคลอง 4 สาย คือ คลองระโนด , คลองโภคา (คลองอาทิตย์)ซึ่งเป็นลำคลองแบ่งอาณาเขตของหมู่ที่ 3 กับหมู่ที่ 4 ของตำบลระโนด , คลองไสร้า และคลองไผ่
- ลักษณะภูมิอากาศ
ระโนดตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบมรสุมเมืองร้อน แต่อากาศไม่ร้อนจัด เนื่องจากอิทธิพลของทะเล แบ่งเป็น 2 ฤดูกาล คือ
ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม ระยะนี้เป็นช่วงว่างของ ฤดูมรสุม หลังจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว อากาศจะเริ่มร้อนและอากาศจะร้อนที่สุดในเดือนเมษายน แต่ก็ไม่ร้อนนักเนื่องจากอยู่ใกล้ทะเล และได้รับอิทธิพลจากกระแสลมและไอน้ำทำให้อากาศร้อนเบาบางลง
ฤดูฝน แบ่งเป็น 2 ช่วงคือ
ช่วงแรก คือจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ในช่วงดังกล่าวตอนเช้าจะมีเมฆบางส่วนและจะก่อตัวทวีสูงขึ้นในช่วงบ่าย ทำให้เกิดฝนตกในช่วงบ่ายถึงค่ำ จะมีลักษณะเป็นฝนฟ้าคะนอง จะมีลมกรรโชกแรงเป็นครั้งคราว ในขณะที่ฝนตก
3.
ช่วงที่สอง จะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม เนื่องจากได้รับอิทธิพลจาก มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงนี้ฝนจะตกอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน และฝนตกทั่วไป ฝนจะตกหนักถึงหนักมากเป็นบางช่วง
- อุณหภูมิ
จังหวัดสงขลา ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลด้านตะวันออกของภาคใต้ และได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดมาจากมหาสมุทรอินเดีย และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งพัดผ่านอ่าวไทยทำให้นำเอาไอน้ำและความชุ่มชื้นพัดผ่านจังหวัดสงขลา ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยไม่สูงมากนัก อากาศไม่ร้อนจัด ในฤดูร้อนอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี ประมาณ 28.10 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 31.40 องศาเซลเซียส
4. คำขวัญหรือวิสัยทัศน์
ตอบ
- คำขวัญคือ:-
ทุ่งรวงทอง นองลูกตาล ตำนานแห่งเจดีย์ พื้นที่แหล่งนากุ้ง
- วิสัยทัศน์คือ:-
เมืองน่าอยู่ ชุมชนน่าอาศัย แหล่งรวมการค้า คมนาคมสะดวก การศึกษาก้าวไกล อนุรักษ์งาน ประเพณี พื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสองทะเล
5. แผนยุทธศาสตร์พัฒนาอำเภอ
ตอบ
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการและโครงสร้างพื้นฐาน
- ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการบริหารและจัดการด้านสาธารณสุข และการส่งเสริมคุณภาพ ชีวิตของประชาชน
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการเมืองการบริหาร
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการศึกษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน
6. ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี แหล่งท่องเที่ยว โบราณสถาน โบราณวัตถุ และอื่นๆ
ตอบ
4.
- ด้านศิลปวัฒนธรรมคือ การแสดงโนรา และการแสดงหนังตะลุง จะมีการแสดงอยู่ทั่วๆไปตามงานต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานโกนจุก งานบวช และการแก้บนต่างๆ เป็นต้น
- ด้านประเพณีคือ
- ประเพณีลากพระและตักบาตรเทโว จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 (ตุลาคม) และอื่นๆ เช่น ประเพณีลอยกระทง ประเพณีสงกรานต์ พิธีหล่อเทียนและสมโภชน์เทียนพรรษา เทศกาลกินเจ งานสมโภชน์พระแม่โพสพ งานรำลึกศิลปินแห่งชาติ(โนราห์ยก ชูบัว)
- การกินวาน คืองานที่เจ้าภาพออกปากให้เพื่อนบ้านไปช่วยกันลงแรงทำงานให้ตน เช่น ออกปากเก็บข้าว (เกี่ยวข้าว) หาบข้าว หามเริน (เรือน) เป็นต้น คล้ายกับการลงแขกของภาคกลาง เจ้าภาพจะต้องจัดเตรียมอาหารคาวหวานไว้เลี้ยงผู้ที่ไปช่วยทำงานทุกคน เรียกประเพณีนี้ว่า ออกปาก-กินวาน การกินวาน มีขึ้นได้หลายโอกาสถือเป็นงานสำคัญ และเป็นหน้าที่ของญาติมิตรที่จะต้องไปช่วยเหลือเช่น งานศพ งานบวช งานแต่งงาน ซึ่งเจ้าภาพจะต้องเลี้ยงดูผู้ที่มาร่วมงานให้ทั่วหน้า ต้องปลูกสร้างโรงครัวและโรงเลี้ยงขึ้นเป็นพิเศษ เวลากลับเจ้าภาพก็จะจัดข้าวเหนียวไห้นำกลับไปด้วย
- การกินแขก หมายถึงงานที่ออกบัตรเชิญหรือบอกกล่าวด้วยวาจาเรียกว่า บอกแขก บางแห่งเรียกว่า งานกินน้ำชา เป็นการจัดงานให้ผู้รับเชิญมีส่วนรวมในการช่วยเหลือด้านเงินทอง เช่น ต้องการทุนให้ลูกไปศึกษาต่อ เมื่อกินเลี้ยงแล้วแขกรวบรวมเงินเป็นของกำนัลแก่เจ้าภาพ
- แหล่งท่องเที่ยว:-
วัดท่าบอน เป็นวัดที่เก่าแก่มาแต่ดั้งเดิม มีเจ้าอาวาสเป็นที่เคารพของคนทั่วไป และมีการจัดทำเหรียญไว้บูชา ไว้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของคนในหมู่บ้านและประชาชนใกล้เคียง
ชายหาดวัดศาลาหลวงบน เป็นชายหาดทรายขาว โดยมีวัดศาลาหลวงบนเป็นทางผ่านไปยังตัวชายหาด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของตำบลท่าบอน
ริมทะเลสาบบ้านใหม่ อยู่ติดทะเลสาบ นั่งชมนก ชมธรรมชาติ มีร้านอาหาร อยู่ที่หมู่ที่ 2และหมู่ที่3 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอระโนด
- โบราณสถาน มี:-
- วัดท่าบอน และนอกจากนี้ก็มีโบราณสถานที่เกี่ยวกับโบราณคดีอยู่หลายแห่งคือ:-
แหล่งโบราณคดีท่าบอน บ้านท่าบอน ตำบลท่าบอน
แหล่งโบราณคดีบ้านโคกทอง หมู่ที่ ๕ ตำบลระโนด
แหล่งโบราณคดีบ้านมะขามเฒ่า ตำบลระโนด
กลุ่มชุมชนโบราณพังยาง เป็นชุมชนโบราณในเขตตำบลพังยาง อำเภอระโนด
5.
บริเวณลุ่มน้ำคลองพังยาง คลองโภคา และคลองบ้านโพธิ์ (คลองโภคา) ประกอบด้วยแหล่ง โบราณคดีสำคัญได้แก่
แหล่งโบราณคดีวัดขุนช้าง-บ้านสามี ตำบลพังยาง อำเภอระโนด ตั้งอยู่บนเส้นทรายริ้วใน มีพัง ขุนช้าง สระบ้านสามี และคลองบ้านโพธิ์เป็นเส้นทางน้ำที่สำคัญ
แหล่งโบราณคดีเมืองพังยาง บ้านพังยาง ตำบลพังยาง อำเภอระโนด
กลุ่มชุมชนโบราณบ้านสีหยัง-เจดีย์งาม เป็นชุมชนในเขตตำบลบ่อตรุ อำเภอระโนด
แหล่งโบราณคดีบ้านเจดีย์งาม ตำบลบ่อตรุ อำเภอระโนด
- โบราณวัตถุมี
- เรือโบราณ
เป็นเรือโบราณ ที่จมอยู่ในทะเลสาบสงขลา ที่ความลึก 3 ฟุต สร้างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีการค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2542 และได้เคลื่อนย้ายขึ้นฝั่ง เมื่อวันที่ 24 เดือน เมษายน พ.ศ. 2546
- เครื่องเคลือบลายคราม สมัยราชวงศ์หมิงของจีน
7. อาชีพ
ตอบ
- ทำนา
- การทำประมง
- การค้าขาย
และมีอาชีพเสริมอยู่หลายอย่าง เช่น การเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
8. ภูมิปัญญาท้องถิ่น และบุคคลสำคัญของอำเภอ
ตอบ
ภูมิปัญญาท้องถิ่นคือ:-
- จะเกี่ยวกับการเป็นอยู่ที่เรียบง่าย อาหารการกินจะรสจัด คือเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด ถ้าเป็นแกงมักใส่กะทิ และเครื่องแกงจะมีขมิ้น ซึ่งคนในสมัยก่อนจะเชื่อว่าขมิ้นคือ พญายา เป็นสมุนไพรแก้ได้หลายโรค
- ด้านศิลปะ วัฒนธรรมก็จะมี หนังตะลุงและรำมโนราห์
- และคนแก่ๆมักจะรู้วิธีการจักสานเป็นอย่างดี ซึ่งจะตกทอดมาสู่ลูกหลานแค่ไหนนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของคนในพื้นที่เป็นสำคัญ
6.
บุคคลสำคัญ เท่าที่มีข้อมูลอยู่จะเจอแค่สองท่าน ท่านแรกคือ โนราห์ยก ชูบัว ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ และอีกท่านคือ ครู อิ่ม จันทร์ชุมท่านมีความสำคัญ เพราะเป็นผู้ทรงปัญญาด้านศิลปกรรม(หนังตะลุง)
9. อื่นๆที่เหมาะสม เช่น ผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
ตอบ
ผลิตภัณฑ์ ก็จะมี
- แจกันจากก้านธูป โดยกลุ่มจักสานจากเส้นใยพืชบ้าน ท่าบอน วัดท่าบอน หมู่ที่ 3
- แจกันเชือกกล้วย โดยกลุ่มจักสานจากเส้นใยพืช บ้านท่าบอนเหมือนกัน
7.
ภาคผนวก
1. แผนที่อำเภอ
2. สถานที่สำคัญของอำเภอระโนด
ตอบ
- วัดท่าบอน เป็นวัดเก่าแก่ เป็นที่นับถือของชาวระโนด
- ชายหาดวัดศาลาหลวงบน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของคนในพื้นที่และบุคคลทั่วไป อยู่ที่ตำบล ท่าบอน
3. ความเหมาะสมนอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว
ตอบ
การปกครองส่วนท้องถิ่น
ท้องที่อำเภอระโนดประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 12 แห่ง ได้แก่
8.
เทศบาลตำบลบ่อตรุ ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลบ่อตรุ บางส่วนของตำบลระวะ และบางส่วนของตำบลวัดสน
เทศบาลตำบลระโนด ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลระโนด
องค์การบริหารส่วนตำบลระโนด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลระโนด (นอกเขตเทศบาลตำบลระโนด)
องค์การบริหารส่วนตำบลคลองแดน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลคลองแดนทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลตะเครียะ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลตะเครียะทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลท่าบอน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลท่าบอนทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านใหม่ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ้านใหม่ทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลปากแตระ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลปากแตระทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลพังยาง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลพังยางทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลระวะ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลระวะ (นอกเขตเทศบาลตำบลบ่อตรุ)
องค์การบริหารส่วนตำบลวัดสน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ่อตรุและตำบลวัดสน (นอกเขต เทศบาลตำบลบ่อตรุ
องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านขาว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ้านขาวทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลแดนสงวน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแดนสงวนทั้งตำบล
4. เส้นทางคมนาคม และรถโดยสาร
ตอบ
- ทางบกได้แก่ ถนนสาย สงขลา – นครศรีธรรมราช
- โดยรถโดยสารสาย สงขลา – ระโนด และ สงขลา – นครศรีธรรมราช
บทสัมภาษณ์วิชาความจริงของชีวิต
จากการที่ได้ทำการสัมภาษณ์บุคคลท่านหนึ่ง ท่านมีชื่อว่า นาย อีสอ มากาสะ อดีตผู้ใหญ่บ้าน ม.7 ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา ต่อคำถามที่ว่า “การพัฒนาประเทศไทย จากอดีตถึงปัจจุบัน ท่านคิดว่ามีผลดีหรือผลเสียที่กระทบในด้านสังคมและวัฒนธรรมอย่างไร? ซึ่งผู้เขียนสามารถที่จะสรุปได้อย่างคร่าวๆดังนี้คือ:-
ตอบ
การพัฒนาของประเทศไทยในทัศนะของท่าน คือมันมีทั้งข้อดีและข้อเสียซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้คือ:-
ข้อดี
- การพัฒนาด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในการที่ประเทศไทยเรามีการพัฒนาในด้านนี้อย่างต่อเนื่องรวมทั้งรับเอาวิทยาการจากต่างประเทศมาใช้ในบ้านเรา ทำให้การป้องกันโรค และรักษาโรคบางอย่างสามารถที่จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ความจริงเรามีภูมิปัญญาของเราอยู่แล้ว เช่นสมุนไพรพื้นบ้าน แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาหารการกิน ซึ่งบางส่วนก็รับวัฒนธรรมมาจากต่างประเทศด้วยเหมือนกัน ทำให้มีสารเคมีบางอย่างเป็นส่วนผสมของอาหารการกิน ทำให้สมุนไพรพื้นบ้านของเรามีประสิทธิภาพไม่เพียงพอที่จะรักษาได้ ก็ต้องอาศัยวิทยาการของแพทย์สมัยใหม่เข้ามาช่วย ซึ่งพัฒนาอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างถึงขีดสุด
- การพัฒนาด้านการคมนาคมและการสื่อสาร การที่เรามีเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เกี่ยวกับยานพาหนะทั้งหลาย รวมทั้งการสื่อสารที่รวดเร็ว ทำให้สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมือง มีการการขยายตัวทางสังคมไปในทุกพื้นที่แม้แต่ในพื้นที่ชุมชนอันห่างไกล
- การพัฒนาด้านการศึกษา ประเทศไทยมีการพัฒนาในด้านนี้ให้เทียบเท่ากับอารยะประเทศ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ เพราะยิ่งมีการศึกษาที่มีคุณภาพมากเท่าใด พัฒนาการด้านสังคม เศรษฐกิจก็ยิ่งดีขึ้นมากเท่านั้น แต่จะส่งผลดีต่อการเมืองมากน้อยแค่ไหนนั้น อันนี้ไม่ค่อยมั่นใจ
- พัฒนาการด้านการพิมพ์ มันจะส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของคน เช่นสื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือ วารสาร เป็นต้น มันจะส่งผลต่อความรอบรู้ของประชาชนในประเทศ
- การพัฒนาด้านการเกษตร การพัฒนาในด้านนี้ทำให้เกษตรกรมีผลผลิตที่มากขึ้น รวมทั้งคุณภาพก็ดีขึ้นด้วย ยกตัวอย่าง เช่น การพัฒนาสารชีวภาพเพื่อใช้ในการเกษตร เป็นต้น
ข้อเสีย
- การพัฒนาด้านการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งบางครั้งมันส่งผลเสียต่อสังคมในกรณีที่มีแพทย์ที่ขาดซึ่งจรรยาบรรณบางคน พัฒนาสารที่ก่อผลร้ายอย่างใหญ่หลวงต่อสังคม เช่นสารเสพติด ดังกรณีของ “มอร์ฟีน” แรกเริ่มเดิมทีมันเป็นยาแก้ปวดชนิดแรงอย่างหนึ่ง ใช้ในกรณีของคนไข้ที่มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่มีหมอหัวใสบางคนที่พัฒนามันขึ้นมาเป็น เฮโรอีน(ผงขาว)ในปัจจุบัน
- การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ การที่นำเอาระบบเสรีนิยม และทุนนิยม มาใช้ในบ้านเราทำให้เกิดปัญหาความเหลี่อมล้ำทางสังคมมากขึ้น คนรวยยิ่งรวยไปใหญ่ ส่วนคนจนก็ยิ่งแบนแต็ดแต๋มากยิ่งขึ้น นี่ยังไม่นับรวมไปถึงปัญหาที่กระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
- พัฒนาการด้านการพิมพ์ ทำให้สามารถเป็นสื่อที่ยั่วยุอีกทางหนึ่งด้วยเหมือนกัน
- การพัฒนาด้านการเกษตร เช่นการพัฒนาของสารเคมีที่ใช้ในการป้องกันแมลง การผลิตฮอร์โมนเพื่อเร่งการเจริญเติบโตให้แก่พืช มันก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
- การพัฒนาด้านการคมนาคมและการสื่อสาร การที่เรามียานพาหนะที่ทันสมัยมันเป็นการยิ่งเพิ่มโอกาสของการเกิดอุบัติเหตุมากยิ่งขึ้น ก็ต้องรอดูว่าจะมีมาตรการใดที่จะเพิ่มความปลอดภัย และในด้านการสื่อสารในยุคไร้พรมแดนเช่นปัจจุบัน มันเป็นโอกาสเสี่ยงต่อเยาวชนในการที่จะเป็นทาสของสื่อที่ยั่วยุทั้งหลาย
1. สำหรับสถานการณ์ปัญหา มันเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาที่ไม่ถูกจุด บางครั้งไม่ตรงกับความต้องการของคนในพื้นที่จริงๆ ซึ่งบางทีถ้าจะเจาะลึกกันจริงๆมันอาจจะเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัวของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือที่เรียกกันว่าทุจริตเชิงนโยบาย
การที่ในส่วนของข้าราชการไม่เข้าใจปัญหา และความต้องการอย่างแท้จริงของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ข้าราชการบางคนที่เป็นไทยพุทธ ไม่ได้ศึกษาถึงระบบของชุมชนมุสลิมว่าเป็นเช่นใด มันเกี่ยวกับประเพณี วัฒนธรรม ทำให้ไปแสดงออกถึงการขัดแย้งกับ ระบบประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนในพื้นที่ ส่งผลให้การตอบรับในด้านบวกลดน้อยลงไป มิหนำซ้ำจะเกิดผลเสียตามมาในระยะยาวอีกด้วย ทั้งๆที่ความจริงเจตนาที่จะพัฒนาแต่กลับกลายเป็นว่าไม่ได้รับการตอบรับจากสังคมเท่าที่ควร ฉะนั้นก่อนเราจะว่าสังคมไม่ยอมรับเราก็ต้องดูว่า ตัวเราทำให้เขายอมรับได้หรือเปล่า ซึ่งปัจจุบันนับว่าเบาบางลงไปมากแล้ว ไม่เหมือนในอดีตที่เกิดช่องว่างอย่างมากระหว่างประชาชนกับข้าราชการ
2. สาเหตุของปัญหา ประเทศไทยมีพัฒนากรอยู่มากมายรวมทั้งหน่วยงานของทางราชการที่เกี่ยวกับการพัฒนา แต่ขาดความรู้ที่เกี่ยวกับ ประเพณี และวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น บางทีมันเป็นนโยบายของรัฐที่ขาดการกลั่นกรองจากผู้ชำนาญการด้าน ประเพณีและวัฒนธรรมของท้องถิ่น ทำให้การปฏิบัติงานมันไปขัดแย้งกับ ประเพณีและวัฒนธรรม แต่ในปัจจุบัน เมื่อประชาชนมีบทบาทในหลายๆเรื่องและหลายๆโครงการทำให้ปัญหาตรงนี้ค่อยๆหมดไป
3. การแก้ปัญหา ทำได้โดยการทำประชามติ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด รวมไปถึงการศึกษาผลกระทบในทุกๆด้าน และในระยะยาว การพัฒนาต้องเน้นหลักของความยั่งยืน จะทำให้การกระทบในด้านลบต่อ สังคม และวัฒนธรรมน้อยที่สุด
4. องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา ก็จะมีหลายๆองค์กรที่สมควรเข้ามามีส่วนร่วมในจุดนี้ เช่น กรมการปกครอง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคประชาชนทั้งหลายที่คอยเป็นหูเป็นตาและคอยตรวจสอบความโปร่งใสในการทำงานของข้าราชการ องค์กรนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทั้งหลาย เช่นนักศึกษา ว.ช.ช สาขาพัฒนาชุมชน เป็นต้น
5. แกนนำ ถ้าเป็นในส่วนของอำเภอก็จะมีนายอำเภอเป็นแกนนำ โดยกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ความเข้าใจในเรื่องขนบธรรมเนียม ประเพณี จะได้ไม่มี่ปัญหาความขัดแย้งกับสังคม
6. เหตุผล ในเมื่อการพัฒนาในบ้านเรามันมีปัญหามานานเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างบุคคลากรของรัฐและประชาชน ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ก็คือการลดช่องว่างระหว่างกันให้มากที่สุด ทุกคนต้องรู้หน้าที่และการปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องอาศัยความรู้ในหลายๆด้าน ต้องศึกษาผลกระทบที่จะตามมาในระยะยาวด้วย
มันถึงจะทำให้สังคมไทยน่าอยู่และปราศจากความเคลือบแคลงภายในใจ ผลสัมฤทธิ์ของคำว่า “สมานฉันท์” ก็บังเกิด
ตอบ
การพัฒนาของประเทศไทยในทัศนะของท่าน คือมันมีทั้งข้อดีและข้อเสียซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้คือ:-
ข้อดี
- การพัฒนาด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในการที่ประเทศไทยเรามีการพัฒนาในด้านนี้อย่างต่อเนื่องรวมทั้งรับเอาวิทยาการจากต่างประเทศมาใช้ในบ้านเรา ทำให้การป้องกันโรค และรักษาโรคบางอย่างสามารถที่จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ความจริงเรามีภูมิปัญญาของเราอยู่แล้ว เช่นสมุนไพรพื้นบ้าน แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาหารการกิน ซึ่งบางส่วนก็รับวัฒนธรรมมาจากต่างประเทศด้วยเหมือนกัน ทำให้มีสารเคมีบางอย่างเป็นส่วนผสมของอาหารการกิน ทำให้สมุนไพรพื้นบ้านของเรามีประสิทธิภาพไม่เพียงพอที่จะรักษาได้ ก็ต้องอาศัยวิทยาการของแพทย์สมัยใหม่เข้ามาช่วย ซึ่งพัฒนาอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างถึงขีดสุด
- การพัฒนาด้านการคมนาคมและการสื่อสาร การที่เรามีเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เกี่ยวกับยานพาหนะทั้งหลาย รวมทั้งการสื่อสารที่รวดเร็ว ทำให้สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมือง มีการการขยายตัวทางสังคมไปในทุกพื้นที่แม้แต่ในพื้นที่ชุมชนอันห่างไกล
- การพัฒนาด้านการศึกษา ประเทศไทยมีการพัฒนาในด้านนี้ให้เทียบเท่ากับอารยะประเทศ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ เพราะยิ่งมีการศึกษาที่มีคุณภาพมากเท่าใด พัฒนาการด้านสังคม เศรษฐกิจก็ยิ่งดีขึ้นมากเท่านั้น แต่จะส่งผลดีต่อการเมืองมากน้อยแค่ไหนนั้น อันนี้ไม่ค่อยมั่นใจ
- พัฒนาการด้านการพิมพ์ มันจะส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของคน เช่นสื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือ วารสาร เป็นต้น มันจะส่งผลต่อความรอบรู้ของประชาชนในประเทศ
- การพัฒนาด้านการเกษตร การพัฒนาในด้านนี้ทำให้เกษตรกรมีผลผลิตที่มากขึ้น รวมทั้งคุณภาพก็ดีขึ้นด้วย ยกตัวอย่าง เช่น การพัฒนาสารชีวภาพเพื่อใช้ในการเกษตร เป็นต้น
ข้อเสีย
- การพัฒนาด้านการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งบางครั้งมันส่งผลเสียต่อสังคมในกรณีที่มีแพทย์ที่ขาดซึ่งจรรยาบรรณบางคน พัฒนาสารที่ก่อผลร้ายอย่างใหญ่หลวงต่อสังคม เช่นสารเสพติด ดังกรณีของ “มอร์ฟีน” แรกเริ่มเดิมทีมันเป็นยาแก้ปวดชนิดแรงอย่างหนึ่ง ใช้ในกรณีของคนไข้ที่มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่มีหมอหัวใสบางคนที่พัฒนามันขึ้นมาเป็น เฮโรอีน(ผงขาว)ในปัจจุบัน
- การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ การที่นำเอาระบบเสรีนิยม และทุนนิยม มาใช้ในบ้านเราทำให้เกิดปัญหาความเหลี่อมล้ำทางสังคมมากขึ้น คนรวยยิ่งรวยไปใหญ่ ส่วนคนจนก็ยิ่งแบนแต็ดแต๋มากยิ่งขึ้น นี่ยังไม่นับรวมไปถึงปัญหาที่กระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
- พัฒนาการด้านการพิมพ์ ทำให้สามารถเป็นสื่อที่ยั่วยุอีกทางหนึ่งด้วยเหมือนกัน
- การพัฒนาด้านการเกษตร เช่นการพัฒนาของสารเคมีที่ใช้ในการป้องกันแมลง การผลิตฮอร์โมนเพื่อเร่งการเจริญเติบโตให้แก่พืช มันก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
- การพัฒนาด้านการคมนาคมและการสื่อสาร การที่เรามียานพาหนะที่ทันสมัยมันเป็นการยิ่งเพิ่มโอกาสของการเกิดอุบัติเหตุมากยิ่งขึ้น ก็ต้องรอดูว่าจะมีมาตรการใดที่จะเพิ่มความปลอดภัย และในด้านการสื่อสารในยุคไร้พรมแดนเช่นปัจจุบัน มันเป็นโอกาสเสี่ยงต่อเยาวชนในการที่จะเป็นทาสของสื่อที่ยั่วยุทั้งหลาย
1. สำหรับสถานการณ์ปัญหา มันเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาที่ไม่ถูกจุด บางครั้งไม่ตรงกับความต้องการของคนในพื้นที่จริงๆ ซึ่งบางทีถ้าจะเจาะลึกกันจริงๆมันอาจจะเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัวของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือที่เรียกกันว่าทุจริตเชิงนโยบาย
การที่ในส่วนของข้าราชการไม่เข้าใจปัญหา และความต้องการอย่างแท้จริงของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ข้าราชการบางคนที่เป็นไทยพุทธ ไม่ได้ศึกษาถึงระบบของชุมชนมุสลิมว่าเป็นเช่นใด มันเกี่ยวกับประเพณี วัฒนธรรม ทำให้ไปแสดงออกถึงการขัดแย้งกับ ระบบประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนในพื้นที่ ส่งผลให้การตอบรับในด้านบวกลดน้อยลงไป มิหนำซ้ำจะเกิดผลเสียตามมาในระยะยาวอีกด้วย ทั้งๆที่ความจริงเจตนาที่จะพัฒนาแต่กลับกลายเป็นว่าไม่ได้รับการตอบรับจากสังคมเท่าที่ควร ฉะนั้นก่อนเราจะว่าสังคมไม่ยอมรับเราก็ต้องดูว่า ตัวเราทำให้เขายอมรับได้หรือเปล่า ซึ่งปัจจุบันนับว่าเบาบางลงไปมากแล้ว ไม่เหมือนในอดีตที่เกิดช่องว่างอย่างมากระหว่างประชาชนกับข้าราชการ
2. สาเหตุของปัญหา ประเทศไทยมีพัฒนากรอยู่มากมายรวมทั้งหน่วยงานของทางราชการที่เกี่ยวกับการพัฒนา แต่ขาดความรู้ที่เกี่ยวกับ ประเพณี และวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น บางทีมันเป็นนโยบายของรัฐที่ขาดการกลั่นกรองจากผู้ชำนาญการด้าน ประเพณีและวัฒนธรรมของท้องถิ่น ทำให้การปฏิบัติงานมันไปขัดแย้งกับ ประเพณีและวัฒนธรรม แต่ในปัจจุบัน เมื่อประชาชนมีบทบาทในหลายๆเรื่องและหลายๆโครงการทำให้ปัญหาตรงนี้ค่อยๆหมดไป
3. การแก้ปัญหา ทำได้โดยการทำประชามติ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด รวมไปถึงการศึกษาผลกระทบในทุกๆด้าน และในระยะยาว การพัฒนาต้องเน้นหลักของความยั่งยืน จะทำให้การกระทบในด้านลบต่อ สังคม และวัฒนธรรมน้อยที่สุด
4. องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา ก็จะมีหลายๆองค์กรที่สมควรเข้ามามีส่วนร่วมในจุดนี้ เช่น กรมการปกครอง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคประชาชนทั้งหลายที่คอยเป็นหูเป็นตาและคอยตรวจสอบความโปร่งใสในการทำงานของข้าราชการ องค์กรนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทั้งหลาย เช่นนักศึกษา ว.ช.ช สาขาพัฒนาชุมชน เป็นต้น
5. แกนนำ ถ้าเป็นในส่วนของอำเภอก็จะมีนายอำเภอเป็นแกนนำ โดยกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ความเข้าใจในเรื่องขนบธรรมเนียม ประเพณี จะได้ไม่มี่ปัญหาความขัดแย้งกับสังคม
6. เหตุผล ในเมื่อการพัฒนาในบ้านเรามันมีปัญหามานานเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างบุคคลากรของรัฐและประชาชน ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ก็คือการลดช่องว่างระหว่างกันให้มากที่สุด ทุกคนต้องรู้หน้าที่และการปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องอาศัยความรู้ในหลายๆด้าน ต้องศึกษาผลกระทบที่จะตามมาในระยะยาวด้วย
มันถึงจะทำให้สังคมไทยน่าอยู่และปราศจากความเคลือบแคลงภายในใจ ผลสัมฤทธิ์ของคำว่า “สมานฉันท์” ก็บังเกิด
วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553
ปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาของ ม.7 ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา
1.
บทนำ
มนุษย์ คือ สัตว์สังคมที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนมีการสื่อสารไปมา มีความร่วมมือ ร่วมใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกันเพื่อแบ่งเบาภาระในการดำรงชีวิต มีความคิดริเริ่มอยู่ในจิตวิญญาณของแต่ละคน แต่ขาดแรงกระตุ้นในส่วนของการนำไปใช้ ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ไม่มีความรู้เพื่อกระตุ้นความคิดเพื่อนำไปใช้ในเชิงสร้างสรรค์ผลงาน หรืออีกนัยก็คือการพัฒนาสังคมให้มันดีขึ้น ในทุกๆส่วนของการดำรงชีวิตในสังคม นั่นย่อมหมายถึงว่าต้องรวมกับการปลูกแนวคิด มีทฤษฏีในการพัฒนา ต้องยึดหลักปรัชญาในการดำรงชีพ เริ่มจากการพัฒนาในส่วนบุคคล ไปสู่คนรอบข้าง แล้วค่อยกลายเป็นชุมชนในวงกว้าง คนที่ริเริ่มก็จะกลายเป็นพัฒนากรอย่างอัตโนมัติ สำหรับหลักการพัฒนาของพัฒนากรคือต้องเริ่มจากน้อยไปหามาก จากเล็กไปหาใหญ่ จากแคบไปหากว้าง มีการวิเคราะห์ปัญหาให้ออก เหตุผลคือทุกๆการพัฒนามันต้องมีปัญหา รวมทั้งการกำหนดแนวทางป้องกันการเกิดปัญหาด้วย คือความยั่งยืนนั่นเอง.
2.
-สภาพปัญหา ประชากร
ก่อนอื่นเราต้องวิเคราะห์ปัญหาก่อนว่าชุมชนของเรามีปัญหาอะไรบ้าง ต้องแยกแยะให้ออกว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน สำหรับชุมชนของผม คือบ้านพรุชิง ม.7 ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา ต้องขอบอกก่อนว่าชุมชนแถบนี้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามมีอยู่ไม่กี่หลังคาเรือนที่นับถือศาสนาพุทธ สำหรับปัญหามันมีอยู่หลายปัญหา ขอยกมาอธิบายอย่างคร่าวๆดังนี้คือ:-
1.ปัญหาด้านการศึกษา
1.1 ชุมชนแห่งนี้สำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาแต่ จะมีบ้างบางส่วนที่แม้แต่ชั้นประถมปีที่ 6 ก็ยังไม่จบ ปัญหามันเกิดจากการที่พ่อแม่คิดว่าลูกหลานไปโรงเรียน แต่ความเป็นจริงคือ ลูกหลานไปไหนก็ไม่รู้ บางคนไปเล่นน้ำ บางคนไปเก็บผลไม้ตามป่ากิน เมื่อครูตามไปที่บ้านก็ได้รับคำตอบว่า เมื่อตอนเช้าก่อนไปตัดยางพ่อแม่ได้จัดการเตรียมข้าวเตรียมปลาเตรียมชุดนักเรียนไว้เรียบร้อยจากนั้นพ่อแม่ก็ไปตัดยาง ลูกก็ไปตามอารมณ์ที่เขาอยากจะไป
1.2 ในกรณีที่จบชั้นประถมปีที่ 6 แล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ เนื่องจากบางส่วนขาดทุนทรัพย์ บางส่วนก็ต้องทำงานช่วยเหลือพ่อแม่ในการจุนเจือครอบครัว บางคนสมัยอยู่ประถมฯเรียนเก่งมีแววในทางการเรียนแต่เมื่อมีปัญหาทางครอบครัวก็ต้องยอมหยุดเรียนโดยไม่มีทางเลือก หลายๆคนเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง กับโอกาสที่ขาดหายไป
1.3 บางทีสถานศึกษาเองก็มีส่วน เหตุผลคือมีหลายคนที่ไม่รู้หนังสือ พูดให้เข้าใจง่ายๆคือจบชั้นประถมปีที่ 6 แต่อ่านหนังสือไม่ออก ขนาดเขียนชื่อตัวเองยังผิดเลย นี่คือความเป็นจริงที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในชุมชนแถบนี้ แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาให้ดีขึ้นตามลำดับ
1.4 ปัญหากับค่านิยมผิดๆ ที่ว่าเรียนสามัญคือการเรียนในศาสนาพุทธ ทำให้หลายๆคนพอจบชั้นประถมปีที่ 6 แล้ว ก็ไม่ได้ต่อไปทางสายสามัญเพียงเพราะความไม่รู้ และค่านิยมผิดๆของพ่อแม่
2. ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
2.1 สำหรับปัญหาด้านเศรษฐกิจในชุมชนแห่งนี้ยังมีอีกมากเพราะสัดส่วนของคนยากจนกับคนที่มีอันจะกินมันไม่สมดุล กล่าวคือคนยากจนมีเยอะกว่า
3. ปัญหาผู้นำขาดสภาวะความเป็นผู้นำ
3.1 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นปัญหามายาวนาน มันเป็นปัญหาที่แก้ยากมากๆเพราะอำนาจเกือบทั้งหมดในชุมชนมันตกอยู่กับคนเพียงไม่กี่คน มันเกี่ยวกับการทุจริต งบประมาณที่เข้ามาในหมู่บ้านหลายๆครั้งที่ถูกใช้อย่างมิชอบ รวมทั้งเงินขวัญกำลังใจของชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านก็มีหลายครั้งที่ไม่เหลือถึงชุดรักษาความปลอดภัย
4. ปัญหาด้านความสามัคคีปรองดองในชุมชน
3.
4.1 เมื่อเกิดปัญหาการทุจริต ความเคารพนับถือในตัวผู้นำก็เหลือน้อย ก็แสดงว่ามีผู้นำก็เหมือนไม่มี ในเมื่อเหมือนไม่มีผู้นำ ศุนย์รวมจิตใจของคนในชุมชนก็เหมือนจะไม่มี ก็เลยกลายเป็นว่าต่างคนต่างอยู่ไม่ค่อยมีการปรองดองกันในชุมชน
5 .ปัญหาด้านยาเสพติด
5.1 ปัญหาข้อนี้ดูเหมือนว่าจะมีกันแทบจะหมู่บ้านและยิ่งขยายวงกว้าง และยิ่งหนักเข้าไปทุกทีๆเราพอจะจำแนกประเภทของยาเสพติดได้ดังนี้:-
- อันดับแรกที่มาแรงมากๆอยู่ในตอนนี้คือ ไม่ใช่4x4 (โฟร์วีลไดรท์) แต่เป็น 4x100 (น้ำกระท่อมผสมยาแก้ไอ น้ำแข็งและน้ำโค้ก) ความจริงแต่เดิมคนแก่ๆเคยเคี้ยวกันเป็นยาสมุนไพร ใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวาน โรคกระเพาะอาหารในรายที่อาการหนักๆ โรคความดันโลหิต มันไม่กระทบเท่าไหร่กับสังคม แต่4x100มันกลับกลายเป็นปัญหาสังคมที่นับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ แม้แต่เด็กๆก็กิน ปัจจุบันได้มีการเพิ่มส่วนผสมลงไปในยาเสพติดชนิดนี้ด้วยคือ ยากันยุง และก๊าซเฉื่อยที่อยู่ในหลอดไฟฟลูออเรสเซ้นต์ มันทำให้อันตรายมากขึ้นกว่าเดิม
- อันดับสอง มีชื่อว่าอินเตอร์หรือตามบ้านเรียกว่า มาโน เป็นยาเม็ดมีฤทธิ์กล่อมประสาท เมื่อเสพเข้าไปแล้วจะมีอาการประสาทหลอน มีความกล้าหาญกว่าที่ควรจะเป็น บางครั้งทำอะไรลงไปมักจะไม่รู้ตัว
- อันดับสามได้แก่กัญชา แต่ปัจจุบันถูกกระแสของน้ำกระท่อมซึ่งมาแรงกว่าบดบังรัศมีพอสมควรแต่ก็ยังเป็นปัญหาสังคมอยู่ดี
6. ปัญหาด้านมลภาวะ
6.1 มลภาวะด้านเสียง ในหมู่บ้านมีการเปิดลานซื้อไม้ยาง บางทีทั้งคืนมีการขึ้นไม้ยางจนถึงรุ่งสางซึ่งเสียงจากการขึ้นไม้ยางจะมีเสียงที่ดังมากจนทำให้บางคนนอนไม่หลับ
อีกส่วนที่เป็นมลภาวะด้วยคือเสียงจากรถจักรยานยนต์ที่แต่งซิ่งจนเสียงดัง
6.2 มลภาวะด้านขยะและสิ่งปฏิกูล เพราะไม่มีการตั้งกฎและการบริหารจัดการต่อขยะมูลฝอยทำให้ข้างถนนหลายๆแห่งเป็นที่ทิ้งขยะมูลฝอยรวมถึงกลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากขยะมูลฝอย มันเป็นความเครียดสะสมต่อคนหลายๆคนในชุมชน
7. ปัญหาด้านการเกษตร
7.1 ปัญหาทางด้านการผลิต เนื่องจากส่วนใหญ่การเกษตรในแถบนี้จะเป็นแบบทำตามบรรพบุรุษไม่มีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น มีการใช้สารเคมีกันอย่างแพร่หลายทำให้ดินเสื่อมโทรมผลผลิตที่ได้จึงน้อยกว่าเท่าที่ควรจะได้ ก็อย่างที่รู้ๆกันว่าสารเคมีกระทบกับระบบนิเวศน์ในวงกว้าง กระทบในทุกๆด้านของทรัพยากรธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น ยางพารา ในอดีตเมื่อปลูกยางพาราขึ้นมาโดยไม่ใส่ปุ๋ยก็ไม่เป็นไรเพราะในดินมีปุ๋ยธรรมชาติมาก พอยางโตขึ้นหน่อยก็มีการใช้ปุ๋ยเคมีทำให้ดินเสื่อม
4.
โทรม ในระยะสั้นอาจจะมองไม่เห็นผลกระทบ แต่ในระยะยาวเห็นได้ชัดเจนตอนที่มีการโค่นต้นยางเพื่อปลูกใหม่ พอมาปลูกใหม่ถึงได้รู้ว่าการเจริญเติบโตของยางมันไม่เหมือนในอดีตจนต้องมีการใช้ปุ๋ย ซึ่งในปัจจุบันเพิ่งมาตื่นตัวในเรื่องของเกษตรอินทรีย์เพื่อฟื้นฟูในเรื่องของคุณภาพดิน
7.2 การตลาด เนื่องจากการบริหารที่ไม่ดีเท่าที่ควรจึงไม่ประสบความสำเร็จทางด้านราคาเท่าที่ควร มีการถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง
8. ปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากในแถบนี้มีลานรับซื้อไม้ยางพารา และไม้ทั่วๆไปยกเว้นไม้นุ่นเพื่อป้อนโรงงานทำไม้ฟืนในโรงงานอุตสาหกรรม ให้มีการทำลายทรัพยากรป่าไม้ในธรรมชาติ มันเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง
- ทฤษฏี ปรัชญา แนวคิดพื้นฐาน หลักการ กระบวนการทำงานพัฒนาชุมชน
1.1 ปรัชญาพัฒนาชุมชน
พัฒน์ บุญรัตน์พันธุ์ ได้กล่าวถึงหลักปรัชญามูลฐานของงานพัฒนาชุมชนไว้ดังนี้:-
- บุคคลแต่ละคนย่อมมีความสำคัญ และมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกันจึงมีสิทธิอันพึงได้รับการปฏิบัติด้วยความยุติธรรม และอย่างบุคคลมีเกียรติในฐานะที่เป็นมนุษย์ปุถุชนอันหนึ่ง
- บุคคลแต่ละคนย่อมมีสิทธิ และสามารถที่จะกำหนดวิถีการดำรงชีวิตของตนไปในทิศทางที่ตนต้องการ
- บุคคลแต่ละคนถ้าหากมีโอกาสแล้ว ย่อมมีความสามารถที่จะเรียนรู้ เปลี่ยนแปลงทัศนะ ประพฤติปฎิบัติและพัฒนาขีดความสามารถให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงขึ้นได้
- มนุษย์ทุกคนมีพลังในเรื่องความคิดริเริ่ม ความเป็นผู้นำ และความคิดใหม่ ๆซึ่งซ่อนเร้นอยู่ และพลังความสามารถเหล่านี้สามารถเจริญเติบโต และนำออกมาใช้ได้ ถ้าพลังที่ซ่อนเร้นเหล่านี้ได้รับการพัฒนา
- การพัฒนาพลังและขีดความสามารถของชุมชนในทุกด้านเป็นสิ่งที่พึ่งปรารถนา และมีความสำคัญยิ่งต่อชีวิตของบุคคล ชุมชน และรัฐฉะนั้น จึงเห็นได้ว่าปรัชญาของการพัฒนาชุมชนนั้น
• ประการแรก ตั้งอยู่บนรากฐานอันมั่นคงแห่งความศรัทธาในตัวคน ว่าเป็นทรัพยากรที่มีความหมายและสำคัญที่สุด มนุษย์ทุกคนมีความสามารถ
5.
• ประการที่สอง การพัฒนาชุมชน ก็คือ ความศรัทธาในเรื่องความยุติธรรมของสังคม(Social Justice) การมุ่งขจัดความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำต่ำสูงที่เห็นได้ชัดในหมู่มวลชนนั้น เป็นเรื่องที่อารยะสังคมพึงยึดมั่น
• ประการสุดท้าย ความไม่รู้ ความดื้อดึง และการใช้กำลังบังคับเป็นอุปสรรคที่สำคัญยิ่งต่อความสำเร็จของการพัฒนา และความเจริญรุดหน้าจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยวิธีการให้การศึกษาเท่านั้น การให้การศึกษาและให้โอกาสจะช่วยดึงพลังซ่อนเร้นในตัวคนออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และการพัฒนาจะมีประสิทธิภาพได้ก็จะต้องยึดหลักการรวมกลุ่ม และการทำงานกับกลุ่ม เพราะมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม การอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และทำงานรวมกันเป็นกลุ่มจะช่วยให้คนได้เจริญเติบโตโดยเร็วที่สุด
ยุวัฒน์ วุฒิเมธี ได้กล่าวถึงปรัชญาของการพัฒนาชุมชน ประกอบด้วย
1. การพัฒนาชุมชนนั้นให้ความศรัทธา เชื่อมั่นในตัวบุคคลว่าเป็นทรัพยากร(Human Resources) ที่มีความสำคัญที่สุดในความสำเร็จของการดำเนินงานทั้งปวง และเชื่ออย่างแน่วแน่ว่ามนุษย์ทุกคนมีความสามารถที่จะพัฒนาตัวเองได้ตามขีดความสามารถทางกายภาพของตน หากโอกาสอำนวยและมีผู้คอยชี้แนะที่ถูกทาง
2. การพัฒนาชุมชนเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนปรารถนา ต้องการความยุติธรรมที่จะมีชีวิตอยู่ในสังคม (Social Justice) ต้องการอยู่ในสังคมด้วยความสุขกาย สบายใจ (SocialSatisfaction) และต้องการอยู่ร่วมในสังคมให้เป็นที่ยอมรับของสังคมด้วย (Social Acceptability) ทนงศักดิ์ คุ้มไข่น้ำ และคณะ (2534 : 6) ได้กล่าวถึงปรัชญาการพัฒนาชุมชน ไว้ว่า
การพัฒนาชุมชนมีหลักปรัชญาอันเป็นมูลฐานสำคัญ ดังนี้
1. มนุษย์ทุกคนมีพลังในเรื่องความคิดริเริ่ม และความเป็นผู้นำซ่อนเร้นอยู่ในตัวพลังเหล่านี้สามารถเจริญเติบโต และนำออกมาใช้ได้ ถ้าได้รับการพัฒนา
2. บุคคลแต่ละคนถ้าหากมีโอกาสแล้ว ย่อมมีความสามารถที่จะเรียนรู้ เปลี่ยนแปลงทัศนะ ประพฤติปฏิบัติ และพัฒนาขีดความสามารถให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงขึ้นได้
3. บุคคลแต่ละคนย่อมมีความสำคัญและมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกันจึงมีสิทธิอันพึงได้รับการปฏิบัติด้วยความยุติธรรมอย่างบุคคลมีเกียรติในฐานะที่เป็นมนุษย์ปุถุชนผู้หนึ่ง
6.
4. บุคคลแต่ละคนย่อมมีสิทธิ และสามารถที่จะกำหนดวิถีการดำรงชีวิตของตนไปในทิศทางที่ตนต้องการ
5. การพัฒนาพลังและขีดความสามารถของคนในชุมชนทุกด้าน เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา และมีความสำคัญยิ่งต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนทุกคนและชุมชนโดยส่วนรวม
กรมการพัฒนาชุมชน (2538) ได้กล่าวสรุป ปรัชญางานพัฒนาชุมชน มีความเชื่อว่า
1. มนุษย์ทุกคนมีเกียรติและศักดิ์ศรีในความเป็นคน
2. มนุษย์ทุกคนมีความสามารถ หรือมีศักยภาพ
3. ความสามารถของมนุษย์สามารถพัฒนาได้ถ้ามีโอกาส
1.2 แนวความคิดพื้นฐานในการพัฒนาชุมชน
การศึกษาแนวความคิดพื้นฐานของงานพัฒนาชุมชนเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้พัฒนากรสามารถทำงานกับประชาชนได้อย่างถูกต้อง และทำให้งานมีประสิทธิภาพ แนวคิดพื้นฐานในการพัฒนาชุมชนในระดับการปฏิบัติ มีดังนี้
1. การมีส่วนร่วมของประชาชน (People Participation) เป็นหัวใจของงานพัฒนาชุมชน โดยยึดหลักของการมีส่วนร่วมที่ว่า ประชาชนมีส่วนร่วมในการคิด ตัดสินใจวางแผนงาน การปฏิบัติการและร่วมบำรุงรักษา
2. การช่วยเหลือตนเอง (Aided Self – Help) เป็นแนวทางในการพัฒนาที่ยึดเป็นหลักการสำคัญประการหนึ่ง คือ ต้องพัฒนาให้ประชาชนพึ่งตนเองได้มากขึ้น โดยมีรัฐคอยให้การช่วยเหลือ สนับสนุน ในส่วนที่เกินขีดความสามารถของประชาชน ตามโอกาสและหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม
3. ความคิดริเริ่มของประชาชน (Initiative) ในการทำงานกับประชาชนต้องยึดหลักการที่ว่า ความคิดริเริ่มต้องมาจากประชาชน ซึ่งต้องใช้วิถีแห่งประชาธิปไตย และหาโอกาสกระตุ้นให้การศึกษา ให้ประชาชนเกิดความคิด และแสดงออกซึ่งความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อหมู่บ้าน ตำบล
7.
4. ความต้องการของชุมชน (Felt – Needs) การพัฒนาชุมชนต้องให้ประชาชน และองค์กรประชาชนคิด และตัดสินใจบนพื้นฐานความต้องการของชุมชนเอง เพื่อให้เกิดความคิดที่ว่างานเป็นของประชาชน และจะช่วยกันดูแลรักษาต่อไป
5. การศึกษาภาคชีวิต (Life – Long Education) งานพัฒนาชุมชนถือเป็นกระบวนการให้การศึกษาภาคชีวิตแก่ประชาชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคน การให้การศึกษาต้องใหการศึกษาอย่างต่อเนื่องกันไป ตราบเท่าที่บุคคลยังดำรงชีวิตอยู่ในชุมชน
1.3 หลักการดำเนินงานพัฒนาชุมชน
จากปรัชญา และแนวคิดพื้นฐานของการพัฒนาชุมชนได้นำมาใช้เป็นหลักในการดำเนินงานพัฒนาชุมชน ดังต่อไปนี้
1. ยึดหลักความมีศักดิ์ศรี และศักยภาพของประชาชน และเปิดโอกาสให้ประชาชนใช้ศักยภาพที่มีอยู่ให้มากที่สุด นักพัฒนาต้องเชื่อมั่นว่าประชาชนนั้นมีศักยภาพที่จะใช้ความรู้ ความสามารถที่จะปรับปรุง พัฒนาตนเองได้ จึงต้องให้โอกาสประชาชนในการคิด วางแผนเพื่อแก้ปัญหาชุมชนด้วยตัวของเขาเองนักพัฒนาควรเป็นผู้กระตุ้น แนะนำ ส่งเสริม
2. ยึดหลักการพึ่งตนเองของประชาชน นักพัฒนาต้องยึดมั่นเป็นหลักการสำคัญว่าต้องสนับสนุนให้ประชาชนพึ่งตนเองได้ โดยการสร้างพลังชุมชนเพื่อพัฒนาชุมชนส่วนรัฐบาลจะช่วยเหลือ สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และช่วยเหลือในส่วนที่เกินขีดความสามารถของประชาชน
3. ยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมคิด ตัดสินใจ วางแผน ปฏิบัติตามแผน และติดตามประเมินผลในกิจกรรม หรือโครงการใด ๆ ที่จะทำในชุมชน เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการดำเนินงาน อันเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในเรื่องความเป็นเจ้าของโครงการ หรือกิจกรรม
4. ยึดหลักประชาธิปไตย ในการทำงานพัฒนาชุมชนจะต้องเริ่มด้วยการพูดคุย ประชุม ปรึกษาหารือร่วมกัน คิดร่วมกัน ตัดสินใจ และทำร่วมกัน รวมถึงรับผิดชอบร่วมกันภายใต้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตยองค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดหลักการดำเนินงานพัฒนาชุมชนไว้ 10 ประการ คือ
8.
• ต้องสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชน
• ต้องเป็นโครงการเอนกประสงค์ที่ช่วยแก้ปัญหาได้หลายด้าน
• ต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติไปพร้อม ๆ กับการดำเนินงาน
• ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่
• ต้องแสวงหาและพัฒนาให้เกิดผู้นำในท้องถิ่น
• ต้องยอมรับให้โอกาสสตรี และเยาวชนมีส่วนร่วมในโครงการ
• รัฐต้องเตรียมจัดบริการให้การสนับสนุน
• ต้องวางแผนอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพทุกระดับ
• สนับสนุนให้องค์กรเอกชน อาสาสมัครต่าง ๆ เข้ามีส่วนร่วม
• ต้องมีการวางแผนให้เกิดความเจริญแก่ชุมชนที่สอดคล้องกับความเจริญในระดับชาติด้วย
1.4 กระบวนการทำงานพัฒนาชุมชน การปฏิบัติงานพัฒนาชุมชนเป็นงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เป็นกระบวนการดังนี้
1. การศึกษาชุมชน เป็นการเสาะแสวงหาข้อมูลต่าง ๆ ในชุมชน เช่น ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และสภาพความเป็นอยู่ของคนในชุมชน เพื่อทราบปัญหาและความต้องการของชุมชนที่แท้จริง วิธีการในการศึกษาชุมชนอาจต้องใช้หลายวิธีประกอบกันทั้งการสัมภาษณ์ การสังเกต การสำรวจ และการศึกษาข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในชุมชนด้วย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด กลวิธีที่สำคัญที่นักพัฒนาต้องใช้ในขั้นตอนนี้ คือ การสร้างความสัมพันธ์กับคนในชุมชน เพราะถ้าหากปราศจากสัมพันธภาพที่ดีระหว่างพัฒนากรกับชาวบ้าน แล้วเป็นการยากที่จะได้รู้ และเข้าใจปัญหาความต้องการจริง ๆ ของชาวบ้าน ความสัมพันธ์อันดี จนถึงขั้นความสนิทสนม รักใคร่ ศรัทธา จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องปลูกฝังให้เกิดขึ้นกับคนในชุมชน
2. การให้การศึกษาแก่ชุมชน เป็นการสนทนา วิเคราะห์ปัญหาร่วมกับประชาชนเป็นการนำข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากขั้นตอนการศึกษาชุมชน มาวิเคราะห์ถึงปัญหาความต้องการและสภาพที่เป็นจริง ผลกระทบ ความรุนแรง และความเสียหายต่อชุมชน กลวิธีที่สำคัญในขั้นตอนนี้คือ การกระตุ้นให้ประชาชนได้รู้ เข้าใจ และตระหนักในปัญหาของชุมชน ซึ่งในปัจจุบันก็คือ การจัดเวทีประชาคม เพื่อค้นหาปัญหาร่วมกันของชุมชน
9.
3. การวางแผน / โครงการ เป็นขั้นตอนให้ประชาชนร่วมตัดสินใจ และกำหนดโครงการ เป็นการนำเอาปัญหาที่ประชาชนตระหนัก และยอมรับว่าเป็นปัญหาของชุมชนมาร่วมกันหาสาเหตุ แนวทางแก้ไข และจัดลำดับความสำคัญของปัญหา และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจที่จะแก้ไขภายใต้ขีดความสามารถของประชาชน และการแสวงหาความช่วยเหลือจากาภายนอกกลวิธีที่สำคัญในขั้นตอนนี้ คือ การให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการแก้ไขปัญหา วิธีการวางแผน การเขียนโครงการ โดยใช้เทคนิคการวางแผนแบบให้ประชาชนมีส่วนร่วม
4. การดำเนินงานตามแผนและโครงการ โดยมีผู้รับผิดชอบในการดำเนินการตามแผนและโครงการที่ได้ตกลงกันไว้ กลวิธีที่สำคัญในขั้นตอนนี้ คือ การเป็นผู้ช่วยเหลือสนับสนุนใน 2 ลักษณะ คือ
4. เป็นผู้ปฏิบัติงานทางวิชาการ เช่น แนะนำการปฏิบัติงาน ให้คำปรึกษาหารือในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน
4.2 เป็นผู้ส่งเสริมให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติงาน
5. การติดตามประเมินผล เป็นการติดตามความก้าวหน้าของงานที่กำลังดำเนินการตามโครงการ เพื่อการปรับปรุงแก้ไขปัญหา อุปสรรคที่พบได้อย่างทันท่วงที กลวิธีที่สำคัญในขั้นตอนนี้ คือ การติดตามดูแลการทำงานที่ประชาชนทำ เพื่อทราบผลความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรค แล้วนำผลการปฏิบัติงานตามโครงการ หรือกิจกรรมไปเผยแพร่เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้ทราบสามารถกระทำได้โดย
5.1 แนะนำให้ผู้นำท้องถิ่นหรือชาวบ้าน ติดตามผลและรายงานผลด้วยตนเอง เช่น รายงานด้วยวาจา รายงานเป็นลายลักษณ์อักษร การจัดนิทรรศการ เป็นต้น
5.2 พัฒนากรเป็นผู้รายงานผลการปฏิบัติงานด้วยตนเอง เช่น รายงานด้วยวาจาต่อผู้บังคับบัญชาและผู้เกี่ยวข้อง เสนอผลการปฏิบัติงานต่อที่ประชุม ทำบันทึกรายงานตามแบบฟอร์มต่าง ๆ ของทางราชการ
ยังมีอีกแนวคิดหรือหลักการพัฒนาชุมชนเพื่อให้สอดคล้องกับจังหวัดแถวภาคใต้ซึ่งเป็นชุมชนของมุสลิมเสียส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นหลักแนวคิดที่เป็นสุขอย่างยั่งยืนด้วย
10.
แนวคิดการพัฒนาชุมชนมุสลิม ที่เป็นสุขอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันมีหลายองค์กรเข้าไปพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐไม่ว่าจะเป็นศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้และหน่วยความมั่นคงนำโดยกองทัพภาคที่ 4 อันเนื่องมาจากมีงบประมาณมหาศาล ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ แนวคิดการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคอย่างเข้าใจและเข้าถึงก่อนพัฒนาจึงมีความสำคัญก่อนจะไปกำหนดยุทธศาสตร์และนำแผนไปปฏิบัติ
ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในภาพรวมของการพัฒนาชุมชนคงไม่ต่างมากนักโดยเฉพาะ ปัญหาในการพัฒนาชุมชน
ผู้อ่านคงเคยได้ยินคำว่า มาม่า ไวไวและยำยำ ในการทำงานพัฒนาชุมชน
คำว่า มาม่า หมายถึง รัฐบาลหรือองค์กรพัฒนาเป็นผู้จัดการทำให้หมดเหมือนแม่ที่ดูแลปกป้องลูกจนในที่สุดก็ไม่สามารถช่วยตัวเองได้
ไวไว หมายถึง ลักษณะคนไทยที่ชอบทำอะไรให้เสร็จเร็ว ๆ ชอบทำอะไรให้เห็นผลเร็ว ๆ หรือสนใจร่วมทำกิจกรรม แต่ในระยะแรกเริ่มแล้วก็หมดความสนใจอย่างรวดเร็ว
ยำยำ หมายถึงความสับสน ซ้ำซ้อนของหน่วยงานที่เข้าไปดำเนินการเรื่องเดียวกัน จนส่งผลให้เกิดปัญหาการเกี่ยงและการไม่รับผิดชอบเมื่อเกิดปัญหา
นั้นคือสิ่งที่สังคมสะท้อนการทำงานของรัฐในการพัฒนาชุมชนซึ่งจากการศึกษาพบว่า ปัญหาดังกล่าว สามารถ สรุปได้ว่า มีอยู่ 4 ประการด้วยกันคือ
• จากพัฒนากร หรือนักพัฒนาซึ่ง มีความรู้ความเข้าใจ และอุดมการณ์การพัฒนาไม่ดีพอ เมื่อต้องเข้าไปอยู่ในชุมชนต้องเผชิญกับปัญหาและความยากลำบากของประชาชนจึงขาดขวัญ-กำลังใจ ไม่สามารถดำเนินการ และหรือเกิดความท้อถอยหรือไม่สามารถทำงานอุทิศทุ่มเทให้กับการพัฒนาได้
• จากวิธีการดำเนินงานของรัฐบาล ซึ่งมีวิธีการสั่งการและปฏิบัติการจากข้างบนลงล่าง กล่าวคือโดยหลักการพัฒนาจะต้องเกิดจากความต้องการจากข้างล่าง (Bottom Up) โดยการเปิดโอกาส ให้ประชาชนคิดเอง แก้ปัญหาเอง ทางรัฐเป็นเพียงที่ปรึกษา
11.
• ความซ้ำซ้อนของกิจกรรมการพัฒนา มีหน่วยงานองค์กรหลายๆ องค์กรที่เข้าไปทำงานเดียวกัน ซึ่งอาจมีรูปแบบวิธีการทำงานที่เหมือนหรือต่างกัน ทำให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องด้วยเกิดความสับสนและในขณะเดียวกันหน่วยงานนั้นก็แก่งแย่งงานกันทำแต่เมื่อเกิดความผิดพลาดจะไม่แย่ง กันรับผิดชอบ
• การฉ้อราษฎร์บังหลวง มีนักพัฒนาจำนวนไม่น้อยที่เบียดบังงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ ไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว รวมทั้งการเบียดบังเวลาทำงานไปทำงานอื่นส่วนตัวด้วย
จากปัญหาดังกล่าวผู้เขียนได้ร่วมคิดกับคณะทำงานเครื่อข่ายพัฒนาชุมชนจังหวัดภาคใต้เช่นอาจารย์วศิน สาเม๊าะอาจารย์ซาการียา บิณยูซูฟและอาจารย์มานะ ช่วยชู ขอเสนอแนวคิดการพัฒนาชุมชนมุสลิมที่เป็นสุขอย่างยั่งยืนดังนี้
1 .ฐานคิดในการดำเนินการ
1.1 แนวคิด "เบญจภาคี" อันประกอบด้วย
• การพัฒนายุทธศาสตร์ ต้องร่วมกันพัฒนา ร่วมกันเข้าใจ และร่วมกันปฏิบัติ แต่ความเข้าใจเชิงยุทธศาสตร์ในภาคีต่างๆ มีไม่เท่าเทียมกัน จึงควรมีการทำความเข้าใจภาคีเครือข่ายที่มีวิถีชีวิตอย่างสมานฉันท์และสันติวิธี
• การสร้างความเป็นเอกภาพของภาครัฐ โดยเน้นกลไกการมีส่วนร่วมในการพัฒนายุทธศาสตร์ การค้นหาผู้นำ การมีเครื่องมือและกลไกในการขับเคลื่อนความเป็นเอกภาพด้วยการใช้งานวิจัยเพื่อชุมชนโดยชุมชนเป็นฐานในการขับเคลื่อนความเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์ และใช้กระบวนการทางสังคมและความเคลื่อนไหวสื่อมวลชนท้องถิ่นมีการสร้างชุมชนเป็นสุข
• กระบวนการทางสังคมที่สนับสนุนให้ภาคประชาชน ภาคท้องถิ่น และภาคท้องที่ อย่างเช่น กระบวนการชูรอ กระบวนการซากาต เข้ามาร่วมเรียนรู้และร่วมผลักดันให้เกิดตำบลแห่งสันติสุข
• การเคลื่อนไหวโดยสื่อสารกับสังคมด้วย สื่อมวลชนทุกประเภท ทั้งประเภทสิ่งพิมพ์ เช่น จดหมายข่าวภาษาถิ่น นักข่าวพลเมือง เป็นต้น
• ภาคีเครือข่ายเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติประสานการพัฒนายุทธศาสตร์
12.
1.2 การใช้กระบวนทัศน์อิสลามหรือวิถีศาสนธรรมเพื่อการพัฒนา การใช้กระบวนทัศน์อิสลามหรือวิถีศาสนธรรม หมายถึง การพัฒนาเป็นไปตามวิถีอิสลาม เป็นทั้งระบบความเชื่อและแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ครอบคลุมพฤติกรรมของมนุษย์ในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่เกิดจนตายโดยมีรากฐานจากคัมภีร์อัลกุรอาน และอัซซุนนะห์ (อัซซุนนะห์ หมายถึง แบบฉบับหรือแนวปฏิบัติ) เป็นธรรมนูญในการดำเนินชีวิต ของท่านศาสดามูฮัมมัดให้ดำเนินการเจริญรอยตามมีหลักและแนวปฏิบัติวางไว้ครอบคลุมทุกด้าน มีบทบัญญัติกำชับไว้ทุกประการไม่ว่าจะเป็นด้านศีลธรรม จรรยาบรรณ สังคม วัฒนธรรมและเรื่องสุขภาพ เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง มีระบบยุติธรรม การคลี่คลายข้อขัดแย้ง การศึกษา การแต่งงาน การครองเรือน การอย่าร้าง การแบ่งมรดก และอื่นๆ ดังนั้นการเคลื่อนงานการพัฒนาชุมชนสุขภาวะต้องดำเนินการไปตามกรอบ จึงจะนำไปสู่การยอมรับจากชุมชนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และที่สำคัญต้องมีการดูแลจัดการให้เกิดการปรับเปลี่ยนนโยบายรัฐตามวิถีของชุมชน ทั้งด้านสาธารณสุข ด้านสวัสดิการ ด้านการศึกษา และผลักดันให้เกิดกระบวนการจัดการชุมชนด้วยระบบชูรอตามมิติอิสลามการใช้กระบวนการมีส่วนร่วมกับทุกฝ่าย (ชูรอ) และชุมชนจัดการตนเองได้ การส่งเสริมให้เกิดผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน
1.3 ประสบการณ์ในการดำเนินงานเดิมจะเป็นรูปแบบในการขับเคลื่อนการเสริมสร้างชุมชนเป็นสุข ภายใต้การกระบวนการเชิงปฏิบัติการผ่านเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากชุมชนต้นแบบภายใต้การวิเคราะห์ และทบทวนศักยภาพทุนทางสังคมของตนเองควบคู่กับการศึกษาระบบเริ่มต้นในเรื่อง ระบบการศึกษาแบบบูรณาการ ระบบสวัสดิการชุมชนด้วยซากาด ระบบการจัดการโดยชุมชนด้วยชูรอ และระบบการพัฒนาอาชีพ เพื่อนำไปสู่การจัดการสุขภาวะของชุมชนต้นแบบ และนำไปสู่ชุมชนขยายที่สามารถขยายประเด็นหรือระบบย่อยต่างๆ ตามสภาพของชุมชนให้นำไปสู่กระบวนการดำเนินงานต่อไป
1.4 ขบวนการดำเนินงาน เน้นบทบาทภาคประชาชน องค์กรชุมชน ผู้นำทางศาสนา ในการดำเนินงานเพื่อเป็นกลไกกำหนดทิศทางการพัฒนาชุมชนของตนเองให้สามารถขับเคลื่อนประเด็นเฉพาะในพื้นที่ กอปรกับความมุ่งมั่นของภาคีเชิงยุทธศาสตร์ (ภาคีหลัก (ดำเนินงาน) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน) ภาคประชาชน : ผู้นำศาสนา กรรมการประจำมัสยิด องค์กรชุมชน เป็นต้น ภาคียุทธศาสตร์ (ร่วมพัฒนา)เช่น ศูนย์อำนวยการบริหาร
13.
จังหวัดชายแดนภาคใต้ สถานีอนามัยหรือศูนย์บริการสุขภาพชุมชนในพื้นที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันยาเสพติด (ปปส.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน องค์การมหาชน (พอช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สถาบันจัดการระบบสุขภาพภาคใต้ (สจรส.) สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติยะลา มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์วิทยาลัยชุมชน) ที่สนับสนุนให้ระบบสนับสนุนในการพัฒนา ประชาชนสามารถจัดการตนเองบนพื้นฐานความหลากหลาย ให้เกิดอิสระในการดำเนินงาน ควบคู่กับความเชี่ยวชาญของทีมงานในกระบวนการดำเนินงานทำให้เกิดการขับเคลื่อน และการทำงานร่วมกันของคนนอกที่มีประสบการณ์การทำงานในพื้นที่เป็นอย่างดี จนเกิดการผสมผสานเป็นกระบวนการทำงานที่ตอบสนองต่อหลักการ "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" ในที่สุด
2. ทุนทางสังคมของจังหวัดชายแดนภาคใต้
การพัฒนาชุมชนที่สามารถพัฒนาสู่การพึ่งพาตนเองได้นั้น ทุนทางสังคมที่มีอยู่ในชุมชนมีความสำคัญมาก
เป็นที่ทราบกันดีว่า ในพื้นที่จังหวัดจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย และมีภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถเสริมสร้างศักยภาพและเพิ่มมูลค่า โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมทั้งจิตภาพและกายภาพ ด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือทุนทางสังคมของเครือข่ายจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีการดำเนินการด้านต่างๆ จนเกิดเป็นระบบการดำเนินงานใน 4 ระบบ ดังนี้
1. ระบบการศึกษาแบบบูรณาการ
การบูรณาการหลักสูตรในระดับประถมศึกษาในโรงเรียนของรัฐโดยมีชุมชนร่วมออกแบบ ยกร่างหลักสูตร การบูรณาการรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับหลักปฏิบัติในมิติของศาสนาทั้ง 3 มิติ ได้แก่
14.
1. มิติความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับอัลลอฮ (ศาสนกิจ)
2. มิติความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ (การอยู่ร่วมกันในสังคมที่หลากหลาย)
3. มิติความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
การดำเนินการของเครือข่าย ได้นำเอาหลักการบูรณาการด้านการศึกษาเข้ามาดำเนินการในหลายตำบล เช่น ตำบลจะแนะ ได้มีการนำเนื้อหาของวิชาศาสนาอิสลามบูรณาการเข้ากับหลักสูตรประถมศึกษาของโรงเรียน ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้เรื่องศาสนาเพิ่มขึ้นในเวลาเรียนปกติ ชุมชนบ้านโคกยางตำบลสะกอม อำเภอจะนะจังหวัดสงขลาซึ่งเป็นชุมชนชนบทได้พัฒนาระบการศึกษาหลักสูตร Intensive Arabic English Program (IAEP) เป็นการดำเนินการในรูปแบบของการเรียนการสอน ๒ ภาษา อย่างเข้มข้นคือเรียนอิสลามศึกษาด้วยภาษาอาหรับโดย และภาษาอังกฤษในสาระวิชาภาอังกฤษ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและไม่มีการแปลในระดับประถมศึกษา หรือรูปแบบการจัดการศึกษาแบบปอเนาะโมเดอร์น (สมัยใหม่) ของตำบลตะโล๊ะ จังหวัดปัตตานี เป็นต้น
2. ระบบสวัสดิการชุมชนด้วการจัดการซากาต
ซากาต ถือเป็นระบบสวัสดิการหลักตามศาสนบัญญัติของอิสลาม ประเภทใหญ่ๆ คือ 1) ซากาตมาล หรือ ซากาตทรัพย์สิน หมายถึงการที่มุสลิมถือครองทรัพย์สินตามพิกัดที่ศาสนากำหนดไว้จนครบรอบ 1 ปี หรือช่วงระยะเวลาหนึ่งที่จะต้องจ่าย บังคับให้มุสลิม 8 ประเภท ตามอัตราที่ถูกกำหนดไว้ 2) ซากาตฟิตเราะฮ์ (บาดานียะห์) หมายถึงการที่มุสลิมทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย จะต้องจ่ายทานบังคับให้กับมุสลิม โดยใช้อาหารหลักของท้องถิ่นบริจาคตามพิกัดที่ถูกกำหนดไว้ในการดำเนินการของเครือข่าย ได้นำหลักการบริหารจัดการของกองทุนซากาต เข้ามาดำเนินการในพื้นที่ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และถูกต้องตามหลักการทางศาสนา โดยในหลายชุมชนที่ได้เริ่มต้นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาใหม่ เช่น ในพื้นที่ตำบลจะแนะ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการซากาตในชุมชน เพื่อทำการศึกษาข้อมูลซากาตประเภทต่างๆ ในแต่ละชุมชน รวมทั้งเป็นองค์กรที่รวบรวมซากาตและแจกจ่ายซากาตแก่บุคคลที่มีคุณสมบัติตามหลักการศาสนาอิสลามได้กำหนด นอกจากแต่ละชุมชนจะมีคณะกรรมการในองค์กรซากาตแล้ว ยังมีข้อมูลของซากาตประเภทต่างๆของชุมชนอีกด้วย หรือในพื้นที่ชุมชนบ้านบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานีซึ่งนอกจากดำเนินการเรื่องกองทุนซากาตแล้ว ยังมีการจัดตั้งกองทุนซากาตของกลุ่มมูอัลลัฟโดยเฉพาะด้วย (กองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เพิ่งเข้านับถือศาสนาอิสลาม)
15.
3. ระบบการจัดการชุมชนด้วยระบบชูรอ (สภาทีปรึกษาชุมชน)
การบริหารจัดการชุมชนด้วย “ระบบชูรอ” ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับบุคคลผู้มีความเกี่ยวข้องกับชุมชน ทั้งผู้นำศาสนา ผู้นำอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ผู้นำตามตำแหน่ง ผู้นำตามธรรมชาติ เพื่อการปรึกษาหารือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชุมชน ซึ่งมีการหารือถึงสาเหตุ แนวทางแก้ปัญหาในชุมชน โดยมีสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย แกนนำในชุมชนตัวแทนเจ้าหน้าที่รัฐ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิก อบต.ฯลฯ) ตัวแทนกลุ่มองค์กรในชุมชน ปราชญ์ชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผู้นำตามธรรมชาติ ผู้นำศาสนา นักศึกษา ฯลฯ
สภาชูรอเป็นการประชุมโดยคณะบุคคลหลากหลายฝ่าย เพื่อหามติในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้เป็นไปตามแนวทางในการจัดการชุมชนโดยยึดหลักภายใต้บทบัญญัติทางศาสนา หาแนวทาง
4. ระบบการพัฒนาอาชีพ
• มีแหล่งเรียนรู้การประกอบอาชีพ เช่น สวนสมรม การประมงพื้นบ้าน และการแปรรูปสัตว์น้ำ ที่บ้านปลายทอน จ. นราธิวาส การเย็บหมวกกะปิเยาะ ที่ตำบลตาโล๊ะ จ. ปัตตานี
• มีแหล่งเรียนรู้ในการผลิตผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน เช่น กริชรามัน
16.
3. กรอบแนวคิดในการดำเนินการ
จากองค์ความรู้ดังกล่าว จะนำไปสู่การสร้างฐานความเข้าใจสถานการณ์ชุมชนภาคใต้ในระดับหนึ่งส่งผลให้กรอบแนวคิดในการทำงานต้องอาศัยการขับเคลื่อนเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายชุมชนเป็นสุขจากทีมงานที่เชี่ยวชาญเรื่องกระบวนการ ภายใต้การมีส่วนร่วมใน 5 ขั้นตอนคือ การวางแผน (Planning) การปฏิบัติ (Doing) การตรวจสอบ (Checking) และลงมือปฏิบัติจริง (Action) หลังจากนั้นสำหรับมุสลิมจะมีการขอพรเพื่อประสบความสำเร็จในงานที่ปฏิบัติและมอบหมายต่อพระเจ้า(Dua and Tawakal)ในขณะเดียวกันจะต้องไม่ลืมให้ คนนอกทีมีประสบการณ์การทำงานภายในพื้นที่และเข้าใจชุมชนมุสลิมเป็นอย่างดี ร่วมสนับสนุน รวมทั้งให้ผู้วิจัยสามารถทำความเข้าใจสถานการณ์ชุมชน และทุนทางสังคมของตนเองเพื่อให้เกิดการรับรู้สถานะของชุมชนตนเอง และนำเข้าสู่กระบวนการขับเคลื่อนเรียนรู้จากการประชุมเชิงปฏิบัติการในพื้นที่ต้นแบบที่สามารถสร้างความรู้ในบริบทของชุมชนที่ใกล้เคียงกัน เพื่อปรับแนวคิดในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างแหล่งต้นแบบและชุมชน ซึ่งส่งผลให้เกิดแนวทางในการดำเนินการจัดการสุขภาวะในชุมชนผ่านกลไกทางสังคมทางศาสนา อย่างเช่น กระบวนการซากาต กระบวนการชูรอ ร่วมกับกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระบบย่อย ที่สามารถสร้างการเรียนรู้ที่นำไปสู่การขยายชุมชนเรียนรู้ได้คือ ระบบการศึกษาแบบบูรณาการ ระบบสวัสดิการด้วยซากาต ระบบการจัดการในชุมชนด้วยกระบวนการชูรอ และระบบการพัฒนาอาชีพ และอาศัยกลไกของการค้นหาองค์ความรู้ของชุมชนผ่านการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชนโดยชุมชน ที่ต้องใช้การวิเคราะห์ สังเคราะห์ ถอดความรู้ประเด็นที่ต้องการขับเคลื่อน หรือประเด็นเร่งด่วนในการสร้างนโยบายสาธารณะ และจัดทำเป็นกรณีศึกษาโดยนักวิจัยในพื้นที่ โดยยึดหลักให้เข้าใจร่วมกันพัฒนา ร่วมกันเข้าใจ และร่วมกันปฏิบัติด้วยกระบวนการทางสังคมอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามการขับเคลื่อนทั้งหมดจำเป็นต้องอาศัยภาคียุทธศาสตร์ที่มีความมุ่งมันสนับสนุนและส่งเสริมให้ชุมชนจัดการตนเอง บนฐานความหลากหลายอย่างอิสระเพื่อนำไปสู่สุขภาวะในพื้นที่ได้ในที่สุด
4. แนวทางการดำเนินงาน
การดำเนินงานควรประกอบด้วยอย่างน้อย 4 แผนงาน ดังนี้ 1) การพัฒนาศักยภาพพื้นที่ 2) การพัฒนาชุมชนเครือข่าย 3) การวิจัยเพื่อพัฒนาสุขภาวะชุมชนโดยชุมชน และ 4) การสื่อสารและแลกเปลี่ยนเรียนกับสังคม โดยมีรายละเอียด ดังนี้
17.
1. แผนงานการพัฒนาศักยภาพพื้นที่
หลักการ เพื่อยกระดับชุมชนของเครือข่ายชายแดนภาคใต้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ มีความสามารถในการเรียนรู้ร่วมกับสมาชิกเครือข่าย สื่อสารกับสมาชิกเครือข่าย ตลอดจนมีการพัฒนาคุณภาพเกี่ยวกับการจัดการสุขภาวะของชุมชนอย่างต่อเนื่อง
วิธีการดำเนินงาน จัดประชุมเชิงปฏิบัติการแกนนำชุมชนเพื่อค้นหาทุนทางสังคมที่ใช้ในการจัดการสุขภาวะของชุมชนที่มีอยู่ที่ถือเป็นชุมชนต้นแบบ เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับชุมชนเครือข่ายและชุมชนขยายผล จัดอบรมและการศึกษาดูงานให้กับผู้นำของชุมชน เพื่อให้มีศักยภาพในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่มี และรวบรวมเป็นสื่อประเภทต่างๆ ตามความเหมาะสม พัฒนาหลักสูตรประจำแหล่งเรียนรู้ เพื่อใช้ในการถ่ายทอดและเรียนรู้ร่วมกับตำบลเครือข่าย เป็นต้น
2) การพัฒนาเครือข่าย
หลักการ การสร้างความเชื่อมโยงของระบบภายในเครือข่ายของชุมชนสุขภาวะต้นแบบ และขยายผลไปสู่ชุมชนที่สนใจ โดยชุมชนขยายผลสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้เพื่อจัดการสุขภาวะชุมชนโดยชุมชนได้อย่างสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ของตนผ่านการปรับเปลี่ยนเชิงนโยบาย การบริหารจัดการ และการพัฒนาแกนนำ
3) การวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชนโดยชุมชน
หลักการ ใช้วิธีการสังเกต การถอดบทเรียน การวิจัยประเด็นเร่งด่วน และสรุปบทเรียนเป็นกรณีศึกษาของแต่ละพื้นที่โดยนักวิชาการที่มีประสบการณ์ รวมทั้งสร้าง ”เครือข่ายนักวิชาการท้องถิ่นสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้เพื่อการจัดการสุขภาวะชุมชน” เพื่อการนำใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ที่มีความแตกต่างกันทางวัฒนธรรม
18.
วิธีการดำเนินงาน
1. นักวิชาการเข้าไปร่วมเรียนรู้และร่วมถอดบทเรียนเพื่อใช้เป็นปัจจัยนำเข้าของพื้นที่แต่ละชุมชน
2. มีการนำเสนอข้อมูลเพื่อตรวจสอบความแม่นยำทางวิชาการ
3. มีกิจกรรมค้นหาประเด็น หัวข้อการศึกษาวิจัย ออกแบบงานวิจัย และดำเนินการศึกษาวิจัย โดยการศึกษาเปรียบเทียบการดำเนินการระหว่างพื้นที่ต้นแบบกับพื้นที่ขยายผล
4) การสื่อสารและการแลกเปลี่ยนกับสังคม
หลักการ การเผยแพร่ระบบการจัดการสุขภาวะชุมชนในแต่ละเรื่องและประเด็น โดยการใช้สื่อสาธารณะสำหรับการเผยแพร่ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมถึงการขยายผลให้กับชุมชนอื่นๆ ที่สนใจโดยใช้ความเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของชุมชน
วิธีการดำเนินงาน
เช่น อบรมนักข่าวพลเมืองเพื่อเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดข้อมูล ผลิตสื่อ แผ่นพับ จดหมายข่าวภาษามลายู เพื่อขยายผลกระบวนการดำเนินงานของโครงการให้สังคมได้ทราบ เพื่อให้ภายในและระหว่างเครือข่ายต่างๆได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้
วิธีการพัฒนา การมีส่วนร่วม
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือการแก้ปัญหาในชุมชนโดยปัญหาที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วว่ามันคือปัญหาที่ต้องแก้ไขขั้นแรกต้องแก้ปัญหาก่อนแล้วค่อยพัฒนาให้ดีขึ้นส่วนปัญหาที่ต้องแก้ไขรวมทั้งพัฒนาให้มันดีขึ้นมีดังนี้:-
1. ปัญหาด้านการศึกษา
1.1 โดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งฝ่ายสถานศึกษาและผู้ปกครอง คือสถานศึกษาต้องมีความเข้มงวดมากขึ้นรวมถึงขอความร่วมมือกับผู้ปกครองในการทำการบ้านเพราะการบ้านเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถเสริมสร้างประสิทธิภาพในการเรียนให้มันดีขึ้น
1.2 ในกรณีที่จบชั้นป.6 ไปแล้วเด็กต้องมีการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นไป คือทำยังไงก็ได้ให้เด็กสามารถต่อยอดในระดับที่สูงขึ้นไปได้
19.
1.3 ส่วนในเรื่องที่ว่าในชุมชนแถบนี้มีค่านิยมผิดๆเกี่ยวกับการศึกษาสายสามัญเป็นการศึกษาในเรื่องของศาสนาพุทธ ต้องมีการสร้างแนวคิดใหม่ ว่าความจริงมันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเพราะศาสนาอิสลามไม่ได้มีข้อห้ามเกี่ยวกับการศึกษา จะมีเฉพาะบางศาสตร์เท่านั้นที่อิสลามได้ห้าม คือศาสตร์ที่เกี่ยวกับความงมงายหรือทางไสยศาสตร์ ส่วนการศึกษาสายสามัญถ้าคุณมีปัญญาเรียนถึงปริญญาเอกได้ก็จะเป็นการดีที่สุด
2. ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
2.1 สำหรับปัญหานี้ต้องแก้กันมากเพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะทำให้ทุกคนในชุมชนร่ำรวย แต่ที่ทำได้ก็คือทำยังไงให้คนในชุมชนมีความสุข ร่ำรวยรอยยิ้ม มีอันจะกินไม่อดอยากจนเกินไป วันนี้โชคดีด้วยพระบารมีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีโครงการและพระราชทานแนวคิดทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าใครนำไปใช้ก็จะเกิดความพอเพียงและมีความสุขในทุกๆด้านของชีวิต
2.2 ต้องพยายามผลักดันให้มีการรวมกลุ่มไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มสหกรณ์ เป็นต้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน
2.3 ต้องพยายามให้มีการพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพดีเพื่อให้มีอำนาจต่อรองด้านราคา รวมทั้งเมื่อมีการรวมกลุ่มกันก็สามารถต่อรองกับพ่อค้าคนกลางได้หรือสามารถตัดพ่อค้าคนกลางออกไปได้เลย
3. ปัญหาผู้นำขาดสภาวะความเป็นผู้นำ
เริ่มไม่แน่ใจว่าที่แท้จริงศัพท์เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างไร แต่ขอใช้คำนี้เพราะโดยส่วนตัวรู้สึกว่ามันเหมาะสมกับสถานการณ์ ในชุมชนนี้เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ สำหรับแนวทางแก้ปํญหามีกันหลายทางดังนี้:-
3.1 ต้องพยายามหาคนที่อาวุโสและเป็นที่เคารพนับถือเพื่อช่วยในการการดึงแนวคิดที่ถูกต้องคืนมา
3.2 ต้องพยายามอย่าให้เฉพาะกลุ่มผู้นำเท่านั้นที่มีอำนาจผูกขาดในเรื่องของงบประมาณ คณะกรรมการหมู่บ้านทั้งหมดต้องมีส่วนร่วมในการบริหารหมู่บ้าน
3.3 ต้องมีการประชุมคณะกรรมการหมู่บ้านประจำเดือน ในกรณีที่ผู้นำไม่จัดประชุมประจำเดือน คณะกรรมการหมู่บ้านที่เหลือต้องจัดกันเองเพราะทุกๆปัญหาสามารถแก้ได้โดยอาศัยการระดมความคิดจากหลายๆฝ่ายและที่สำคัญต้องแก้โดยผ่านความเห็นชอบจากการประชุมหารือกัน
3.4 ถ้ายังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ก็ต้องขอช่วยหน่วยเหนือให้ช่วยแก้ปัญหาให้โดยผ่านการร้องเรียน
4. ปัญหาด้านความสามัคคีปรองดองในสังคม
สำหรับปัญหาในข้อนี้ก็ต้องอาศัยการประชุมในการแก้ปํญหารวมทั้งต้องอาศัยสภาวะความเป็นผู้นำของผู้นำในการแก้ปัญหาต้องพยายามทุกวิถีทางในการสร้างความสมานฉันท์ให้บังเกิดขึ้นในสังคม
20.
5. ปัญหาด้านยาเสพติด
สำหรับปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆฝ่ายในการแก้ปัญหาทังผู้นำก็ดี ทั้งผู้ปกครองเองก็ดี ช่วยกันเป็นหูเป็นตาในการที่จะยับยั้งในการระบาดของยาเสพติดสำหรับทางแก้ที่คาดว่าจะได้ผลมีดังนี้คือ:-
5.1 พยายามทุกวิธีทางในการที่จะไม่ให้มีผู้ค้ายาเสพติดทุกประเภทในชุมชนโดยวิธีการที่ละมุนละม่อมที่สุดในอันดับแรก ซึ่งในขั้นตอนสุดท้ายถ้ายังดื้อดึงในการค้ายาเสพติดในชุมชน ก็ต้องมีการส่งข้อมูลแก่ทางการเพื่อจะนำไปสู่การจับกุมให้หมดสิ้นไปจากสังคม
5.2 ต้องมีการตั้งกฎกติกาในชุมชนสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกประเภท
5.3 สำหรับผู้ปกครองเองก็ต้องอาศัยการสังเกตดูว่าลูกหลานมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ที่จะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่ ถ้าหากว่ามี ก็ต้องแก้ปัญหา เชื่อเหลือเกินว่าถ้าหากทุกๆครอบครัวได้มีการสังเกตุและปฏิบัติกันเช่นนี้ก็สามารถแก้ปัญหาในข้อนี้ได้ในระดับหนึ่ง
6. ปัญหาด้านมลภาวะ ด้านเสียงและสิ่งปฏิกูลริมถนน
6.1 ปัญหาด้านเสียง ถ้าเราจะไปห้ามไม่ให้มีลานซื้อขายไม้ก็ไม่ได้เพราะเขาก็ทำอาชีพสุจริตเหมือนกัน แต่ต้องมองปัญหาว่าเสียงที่รบกวนจริงๆมันจะเป็นช่วงกลางคืนก็ต้องอาศัยการเจรจาว่าถ้าจะทำกันเฉพาะกลางวันจะได้หรือไม่
6.2 สำหรับในเรื่องของขยะก็สามารถแก้ได้ง่ายๆแค่จัดการในเรื่องของการทิ้งขยะและการกำจัดขยะให้หมด แค่นี้หมู่บ้านก็สะอาด
อีกส่วนหนึ่งในเรื่องของการขับรถซิ่งก็ต้องขอความร่วมมือกับผู้ปกครองและตัวเยาวชนเองโดยการหากิจกรรมอื่นที่สร้างสรรค์กว่าทำ ซึ่งให้มันดีกว่าขับรถซิ่งไปวันๆ
7. ปัญหาด้านการเกษตร
7.1 การผลิต ต้องเอาจริงเอาจังในเรื่องของการรณรงค์อย่าให้มีการใช้ปุ๋ยเคมีโดยหันมาใช้ปุ๋ยหรือสารชีวภาพแทน และพัฒนาคุณภาพของผลผลิตให้ทัดเทียมกับความเป็นสากล
7.2 เมื่อเราสามารถพัฒนาผลผลิตให้มันดีแล้วเราก็สามารถมีอำนาจต่อรองกับตลาดได้ในระดับหนึ่งซึ่งถ้าต้องการมีอำนาจต่อรองกับตลาดให้มากขึ้นก็ต้องมีการรวมกลุ่มกันในรูปแบบของกลุ่มหรือสหกรณ์
8. ปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติ
ข้อนี้แก้ยากเพราะต้องปลุกสำนึกและสร้างแนวคิดให้มีการหวงแหนและตระหนักถึงมหันตภัยของการที่ไม่มีป่าไม้เหลืออยู่ เป็นไปได้มั้ยถ้าจะมีการซื้อขายกันเฉพาะไม้ยางพาราเท่านั้นแทนที่จะมีการซื้อขายไม้ทุกอย่างที่ขวางหน้า
21.
สรุป
รายงานเล่มนี้ได้มีการหยิบยกปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในชุมชนหมู่ที่ 7 แห่งนี้ซึ่งเป็นปัญหามายาวนานโดยที่ยังไม่มีผู้ใดมาแก้ การแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือ แต่เฉพาะความร่วมมือกันก็ยังทำกันไม่ได้แล้วจะไปแก้ปัญหากันอย่างไรที่เห็นจะพอมีหนทางอยู่บ้างก็คาดว่าต้องมีการรวมกลุ่มกันของคนยุคใหม่ที่มีความรู้และมีจิตสำนึกที่จะแก้ปัญหาโดยการพูดกันในวงแคบๆก่อน ยกตัวอย่างเช่นในหมู่บ้านมีคณะกรรมการอยู่ 25 คนรวมผู้ใหญ่บ้านด้วย ก็ใช้วิธีการพูดกันในวงแคบๆ 2-3 คนก่อนแล้วค่อยเพิ่มจำนวนไปเรื่อยๆ จากนั้นก็จัดการประชุมเพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนา ประชุมทุกอย่างที่เกี่ยวกับปัญหาเพื่อหาทางแก้ปัญหา โดยอาศัยหลายๆทฤษฏีการแก้ปัญหาที่เหมาะกับชุมชน ซึ่งที่มาของการยกเอา 2 ทฤษฏีมากล่าวก็เพระว่าชุมชนแห่งนี้มีทั้งชุมชนของไทยพุทธและชุมชนของมุสลิม เชื่อว่าในอีกไม่นานถ้าในชุมชนแห่งนี้มีการเอาทฤษฏีในทำนองนี้ไปใช้ก็จะเกิดการพัฒนาที่ดีขึ้นและยั่งยืน และขอขอบคุณท่าน อาจารย์ อับดุลสุโก ดินอะ สำหรับข้อมูลบางส่วนในบล็อกของท่าน
บทนำ
มนุษย์ คือ สัตว์สังคมที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนมีการสื่อสารไปมา มีความร่วมมือ ร่วมใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกันเพื่อแบ่งเบาภาระในการดำรงชีวิต มีความคิดริเริ่มอยู่ในจิตวิญญาณของแต่ละคน แต่ขาดแรงกระตุ้นในส่วนของการนำไปใช้ ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ไม่มีความรู้เพื่อกระตุ้นความคิดเพื่อนำไปใช้ในเชิงสร้างสรรค์ผลงาน หรืออีกนัยก็คือการพัฒนาสังคมให้มันดีขึ้น ในทุกๆส่วนของการดำรงชีวิตในสังคม นั่นย่อมหมายถึงว่าต้องรวมกับการปลูกแนวคิด มีทฤษฏีในการพัฒนา ต้องยึดหลักปรัชญาในการดำรงชีพ เริ่มจากการพัฒนาในส่วนบุคคล ไปสู่คนรอบข้าง แล้วค่อยกลายเป็นชุมชนในวงกว้าง คนที่ริเริ่มก็จะกลายเป็นพัฒนากรอย่างอัตโนมัติ สำหรับหลักการพัฒนาของพัฒนากรคือต้องเริ่มจากน้อยไปหามาก จากเล็กไปหาใหญ่ จากแคบไปหากว้าง มีการวิเคราะห์ปัญหาให้ออก เหตุผลคือทุกๆการพัฒนามันต้องมีปัญหา รวมทั้งการกำหนดแนวทางป้องกันการเกิดปัญหาด้วย คือความยั่งยืนนั่นเอง.
2.
-สภาพปัญหา ประชากร
ก่อนอื่นเราต้องวิเคราะห์ปัญหาก่อนว่าชุมชนของเรามีปัญหาอะไรบ้าง ต้องแยกแยะให้ออกว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน สำหรับชุมชนของผม คือบ้านพรุชิง ม.7 ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา ต้องขอบอกก่อนว่าชุมชนแถบนี้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามมีอยู่ไม่กี่หลังคาเรือนที่นับถือศาสนาพุทธ สำหรับปัญหามันมีอยู่หลายปัญหา ขอยกมาอธิบายอย่างคร่าวๆดังนี้คือ:-
1.ปัญหาด้านการศึกษา
1.1 ชุมชนแห่งนี้สำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาแต่ จะมีบ้างบางส่วนที่แม้แต่ชั้นประถมปีที่ 6 ก็ยังไม่จบ ปัญหามันเกิดจากการที่พ่อแม่คิดว่าลูกหลานไปโรงเรียน แต่ความเป็นจริงคือ ลูกหลานไปไหนก็ไม่รู้ บางคนไปเล่นน้ำ บางคนไปเก็บผลไม้ตามป่ากิน เมื่อครูตามไปที่บ้านก็ได้รับคำตอบว่า เมื่อตอนเช้าก่อนไปตัดยางพ่อแม่ได้จัดการเตรียมข้าวเตรียมปลาเตรียมชุดนักเรียนไว้เรียบร้อยจากนั้นพ่อแม่ก็ไปตัดยาง ลูกก็ไปตามอารมณ์ที่เขาอยากจะไป
1.2 ในกรณีที่จบชั้นประถมปีที่ 6 แล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ เนื่องจากบางส่วนขาดทุนทรัพย์ บางส่วนก็ต้องทำงานช่วยเหลือพ่อแม่ในการจุนเจือครอบครัว บางคนสมัยอยู่ประถมฯเรียนเก่งมีแววในทางการเรียนแต่เมื่อมีปัญหาทางครอบครัวก็ต้องยอมหยุดเรียนโดยไม่มีทางเลือก หลายๆคนเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง กับโอกาสที่ขาดหายไป
1.3 บางทีสถานศึกษาเองก็มีส่วน เหตุผลคือมีหลายคนที่ไม่รู้หนังสือ พูดให้เข้าใจง่ายๆคือจบชั้นประถมปีที่ 6 แต่อ่านหนังสือไม่ออก ขนาดเขียนชื่อตัวเองยังผิดเลย นี่คือความเป็นจริงที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในชุมชนแถบนี้ แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาให้ดีขึ้นตามลำดับ
1.4 ปัญหากับค่านิยมผิดๆ ที่ว่าเรียนสามัญคือการเรียนในศาสนาพุทธ ทำให้หลายๆคนพอจบชั้นประถมปีที่ 6 แล้ว ก็ไม่ได้ต่อไปทางสายสามัญเพียงเพราะความไม่รู้ และค่านิยมผิดๆของพ่อแม่
2. ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
2.1 สำหรับปัญหาด้านเศรษฐกิจในชุมชนแห่งนี้ยังมีอีกมากเพราะสัดส่วนของคนยากจนกับคนที่มีอันจะกินมันไม่สมดุล กล่าวคือคนยากจนมีเยอะกว่า
3. ปัญหาผู้นำขาดสภาวะความเป็นผู้นำ
3.1 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นปัญหามายาวนาน มันเป็นปัญหาที่แก้ยากมากๆเพราะอำนาจเกือบทั้งหมดในชุมชนมันตกอยู่กับคนเพียงไม่กี่คน มันเกี่ยวกับการทุจริต งบประมาณที่เข้ามาในหมู่บ้านหลายๆครั้งที่ถูกใช้อย่างมิชอบ รวมทั้งเงินขวัญกำลังใจของชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านก็มีหลายครั้งที่ไม่เหลือถึงชุดรักษาความปลอดภัย
4. ปัญหาด้านความสามัคคีปรองดองในชุมชน
3.
4.1 เมื่อเกิดปัญหาการทุจริต ความเคารพนับถือในตัวผู้นำก็เหลือน้อย ก็แสดงว่ามีผู้นำก็เหมือนไม่มี ในเมื่อเหมือนไม่มีผู้นำ ศุนย์รวมจิตใจของคนในชุมชนก็เหมือนจะไม่มี ก็เลยกลายเป็นว่าต่างคนต่างอยู่ไม่ค่อยมีการปรองดองกันในชุมชน
5 .ปัญหาด้านยาเสพติด
5.1 ปัญหาข้อนี้ดูเหมือนว่าจะมีกันแทบจะหมู่บ้านและยิ่งขยายวงกว้าง และยิ่งหนักเข้าไปทุกทีๆเราพอจะจำแนกประเภทของยาเสพติดได้ดังนี้:-
- อันดับแรกที่มาแรงมากๆอยู่ในตอนนี้คือ ไม่ใช่4x4 (โฟร์วีลไดรท์) แต่เป็น 4x100 (น้ำกระท่อมผสมยาแก้ไอ น้ำแข็งและน้ำโค้ก) ความจริงแต่เดิมคนแก่ๆเคยเคี้ยวกันเป็นยาสมุนไพร ใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวาน โรคกระเพาะอาหารในรายที่อาการหนักๆ โรคความดันโลหิต มันไม่กระทบเท่าไหร่กับสังคม แต่4x100มันกลับกลายเป็นปัญหาสังคมที่นับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ แม้แต่เด็กๆก็กิน ปัจจุบันได้มีการเพิ่มส่วนผสมลงไปในยาเสพติดชนิดนี้ด้วยคือ ยากันยุง และก๊าซเฉื่อยที่อยู่ในหลอดไฟฟลูออเรสเซ้นต์ มันทำให้อันตรายมากขึ้นกว่าเดิม
- อันดับสอง มีชื่อว่าอินเตอร์หรือตามบ้านเรียกว่า มาโน เป็นยาเม็ดมีฤทธิ์กล่อมประสาท เมื่อเสพเข้าไปแล้วจะมีอาการประสาทหลอน มีความกล้าหาญกว่าที่ควรจะเป็น บางครั้งทำอะไรลงไปมักจะไม่รู้ตัว
- อันดับสามได้แก่กัญชา แต่ปัจจุบันถูกกระแสของน้ำกระท่อมซึ่งมาแรงกว่าบดบังรัศมีพอสมควรแต่ก็ยังเป็นปัญหาสังคมอยู่ดี
6. ปัญหาด้านมลภาวะ
6.1 มลภาวะด้านเสียง ในหมู่บ้านมีการเปิดลานซื้อไม้ยาง บางทีทั้งคืนมีการขึ้นไม้ยางจนถึงรุ่งสางซึ่งเสียงจากการขึ้นไม้ยางจะมีเสียงที่ดังมากจนทำให้บางคนนอนไม่หลับ
อีกส่วนที่เป็นมลภาวะด้วยคือเสียงจากรถจักรยานยนต์ที่แต่งซิ่งจนเสียงดัง
6.2 มลภาวะด้านขยะและสิ่งปฏิกูล เพราะไม่มีการตั้งกฎและการบริหารจัดการต่อขยะมูลฝอยทำให้ข้างถนนหลายๆแห่งเป็นที่ทิ้งขยะมูลฝอยรวมถึงกลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากขยะมูลฝอย มันเป็นความเครียดสะสมต่อคนหลายๆคนในชุมชน
7. ปัญหาด้านการเกษตร
7.1 ปัญหาทางด้านการผลิต เนื่องจากส่วนใหญ่การเกษตรในแถบนี้จะเป็นแบบทำตามบรรพบุรุษไม่มีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น มีการใช้สารเคมีกันอย่างแพร่หลายทำให้ดินเสื่อมโทรมผลผลิตที่ได้จึงน้อยกว่าเท่าที่ควรจะได้ ก็อย่างที่รู้ๆกันว่าสารเคมีกระทบกับระบบนิเวศน์ในวงกว้าง กระทบในทุกๆด้านของทรัพยากรธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น ยางพารา ในอดีตเมื่อปลูกยางพาราขึ้นมาโดยไม่ใส่ปุ๋ยก็ไม่เป็นไรเพราะในดินมีปุ๋ยธรรมชาติมาก พอยางโตขึ้นหน่อยก็มีการใช้ปุ๋ยเคมีทำให้ดินเสื่อม
4.
โทรม ในระยะสั้นอาจจะมองไม่เห็นผลกระทบ แต่ในระยะยาวเห็นได้ชัดเจนตอนที่มีการโค่นต้นยางเพื่อปลูกใหม่ พอมาปลูกใหม่ถึงได้รู้ว่าการเจริญเติบโตของยางมันไม่เหมือนในอดีตจนต้องมีการใช้ปุ๋ย ซึ่งในปัจจุบันเพิ่งมาตื่นตัวในเรื่องของเกษตรอินทรีย์เพื่อฟื้นฟูในเรื่องของคุณภาพดิน
7.2 การตลาด เนื่องจากการบริหารที่ไม่ดีเท่าที่ควรจึงไม่ประสบความสำเร็จทางด้านราคาเท่าที่ควร มีการถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง
8. ปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากในแถบนี้มีลานรับซื้อไม้ยางพารา และไม้ทั่วๆไปยกเว้นไม้นุ่นเพื่อป้อนโรงงานทำไม้ฟืนในโรงงานอุตสาหกรรม ให้มีการทำลายทรัพยากรป่าไม้ในธรรมชาติ มันเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง
- ทฤษฏี ปรัชญา แนวคิดพื้นฐาน หลักการ กระบวนการทำงานพัฒนาชุมชน
1.1 ปรัชญาพัฒนาชุมชน
พัฒน์ บุญรัตน์พันธุ์ ได้กล่าวถึงหลักปรัชญามูลฐานของงานพัฒนาชุมชนไว้ดังนี้:-
- บุคคลแต่ละคนย่อมมีความสำคัญ และมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกันจึงมีสิทธิอันพึงได้รับการปฏิบัติด้วยความยุติธรรม และอย่างบุคคลมีเกียรติในฐานะที่เป็นมนุษย์ปุถุชนอันหนึ่ง
- บุคคลแต่ละคนย่อมมีสิทธิ และสามารถที่จะกำหนดวิถีการดำรงชีวิตของตนไปในทิศทางที่ตนต้องการ
- บุคคลแต่ละคนถ้าหากมีโอกาสแล้ว ย่อมมีความสามารถที่จะเรียนรู้ เปลี่ยนแปลงทัศนะ ประพฤติปฎิบัติและพัฒนาขีดความสามารถให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงขึ้นได้
- มนุษย์ทุกคนมีพลังในเรื่องความคิดริเริ่ม ความเป็นผู้นำ และความคิดใหม่ ๆซึ่งซ่อนเร้นอยู่ และพลังความสามารถเหล่านี้สามารถเจริญเติบโต และนำออกมาใช้ได้ ถ้าพลังที่ซ่อนเร้นเหล่านี้ได้รับการพัฒนา
- การพัฒนาพลังและขีดความสามารถของชุมชนในทุกด้านเป็นสิ่งที่พึ่งปรารถนา และมีความสำคัญยิ่งต่อชีวิตของบุคคล ชุมชน และรัฐฉะนั้น จึงเห็นได้ว่าปรัชญาของการพัฒนาชุมชนนั้น
• ประการแรก ตั้งอยู่บนรากฐานอันมั่นคงแห่งความศรัทธาในตัวคน ว่าเป็นทรัพยากรที่มีความหมายและสำคัญที่สุด มนุษย์ทุกคนมีความสามารถ
5.
• ประการที่สอง การพัฒนาชุมชน ก็คือ ความศรัทธาในเรื่องความยุติธรรมของสังคม(Social Justice) การมุ่งขจัดความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำต่ำสูงที่เห็นได้ชัดในหมู่มวลชนนั้น เป็นเรื่องที่อารยะสังคมพึงยึดมั่น
• ประการสุดท้าย ความไม่รู้ ความดื้อดึง และการใช้กำลังบังคับเป็นอุปสรรคที่สำคัญยิ่งต่อความสำเร็จของการพัฒนา และความเจริญรุดหน้าจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยวิธีการให้การศึกษาเท่านั้น การให้การศึกษาและให้โอกาสจะช่วยดึงพลังซ่อนเร้นในตัวคนออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และการพัฒนาจะมีประสิทธิภาพได้ก็จะต้องยึดหลักการรวมกลุ่ม และการทำงานกับกลุ่ม เพราะมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม การอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และทำงานรวมกันเป็นกลุ่มจะช่วยให้คนได้เจริญเติบโตโดยเร็วที่สุด
ยุวัฒน์ วุฒิเมธี ได้กล่าวถึงปรัชญาของการพัฒนาชุมชน ประกอบด้วย
1. การพัฒนาชุมชนนั้นให้ความศรัทธา เชื่อมั่นในตัวบุคคลว่าเป็นทรัพยากร(Human Resources) ที่มีความสำคัญที่สุดในความสำเร็จของการดำเนินงานทั้งปวง และเชื่ออย่างแน่วแน่ว่ามนุษย์ทุกคนมีความสามารถที่จะพัฒนาตัวเองได้ตามขีดความสามารถทางกายภาพของตน หากโอกาสอำนวยและมีผู้คอยชี้แนะที่ถูกทาง
2. การพัฒนาชุมชนเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนปรารถนา ต้องการความยุติธรรมที่จะมีชีวิตอยู่ในสังคม (Social Justice) ต้องการอยู่ในสังคมด้วยความสุขกาย สบายใจ (SocialSatisfaction) และต้องการอยู่ร่วมในสังคมให้เป็นที่ยอมรับของสังคมด้วย (Social Acceptability) ทนงศักดิ์ คุ้มไข่น้ำ และคณะ (2534 : 6) ได้กล่าวถึงปรัชญาการพัฒนาชุมชน ไว้ว่า
การพัฒนาชุมชนมีหลักปรัชญาอันเป็นมูลฐานสำคัญ ดังนี้
1. มนุษย์ทุกคนมีพลังในเรื่องความคิดริเริ่ม และความเป็นผู้นำซ่อนเร้นอยู่ในตัวพลังเหล่านี้สามารถเจริญเติบโต และนำออกมาใช้ได้ ถ้าได้รับการพัฒนา
2. บุคคลแต่ละคนถ้าหากมีโอกาสแล้ว ย่อมมีความสามารถที่จะเรียนรู้ เปลี่ยนแปลงทัศนะ ประพฤติปฏิบัติ และพัฒนาขีดความสามารถให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงขึ้นได้
3. บุคคลแต่ละคนย่อมมีความสำคัญและมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกันจึงมีสิทธิอันพึงได้รับการปฏิบัติด้วยความยุติธรรมอย่างบุคคลมีเกียรติในฐานะที่เป็นมนุษย์ปุถุชนผู้หนึ่ง
6.
4. บุคคลแต่ละคนย่อมมีสิทธิ และสามารถที่จะกำหนดวิถีการดำรงชีวิตของตนไปในทิศทางที่ตนต้องการ
5. การพัฒนาพลังและขีดความสามารถของคนในชุมชนทุกด้าน เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา และมีความสำคัญยิ่งต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนทุกคนและชุมชนโดยส่วนรวม
กรมการพัฒนาชุมชน (2538) ได้กล่าวสรุป ปรัชญางานพัฒนาชุมชน มีความเชื่อว่า
1. มนุษย์ทุกคนมีเกียรติและศักดิ์ศรีในความเป็นคน
2. มนุษย์ทุกคนมีความสามารถ หรือมีศักยภาพ
3. ความสามารถของมนุษย์สามารถพัฒนาได้ถ้ามีโอกาส
1.2 แนวความคิดพื้นฐานในการพัฒนาชุมชน
การศึกษาแนวความคิดพื้นฐานของงานพัฒนาชุมชนเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้พัฒนากรสามารถทำงานกับประชาชนได้อย่างถูกต้อง และทำให้งานมีประสิทธิภาพ แนวคิดพื้นฐานในการพัฒนาชุมชนในระดับการปฏิบัติ มีดังนี้
1. การมีส่วนร่วมของประชาชน (People Participation) เป็นหัวใจของงานพัฒนาชุมชน โดยยึดหลักของการมีส่วนร่วมที่ว่า ประชาชนมีส่วนร่วมในการคิด ตัดสินใจวางแผนงาน การปฏิบัติการและร่วมบำรุงรักษา
2. การช่วยเหลือตนเอง (Aided Self – Help) เป็นแนวทางในการพัฒนาที่ยึดเป็นหลักการสำคัญประการหนึ่ง คือ ต้องพัฒนาให้ประชาชนพึ่งตนเองได้มากขึ้น โดยมีรัฐคอยให้การช่วยเหลือ สนับสนุน ในส่วนที่เกินขีดความสามารถของประชาชน ตามโอกาสและหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม
3. ความคิดริเริ่มของประชาชน (Initiative) ในการทำงานกับประชาชนต้องยึดหลักการที่ว่า ความคิดริเริ่มต้องมาจากประชาชน ซึ่งต้องใช้วิถีแห่งประชาธิปไตย และหาโอกาสกระตุ้นให้การศึกษา ให้ประชาชนเกิดความคิด และแสดงออกซึ่งความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อหมู่บ้าน ตำบล
7.
4. ความต้องการของชุมชน (Felt – Needs) การพัฒนาชุมชนต้องให้ประชาชน และองค์กรประชาชนคิด และตัดสินใจบนพื้นฐานความต้องการของชุมชนเอง เพื่อให้เกิดความคิดที่ว่างานเป็นของประชาชน และจะช่วยกันดูแลรักษาต่อไป
5. การศึกษาภาคชีวิต (Life – Long Education) งานพัฒนาชุมชนถือเป็นกระบวนการให้การศึกษาภาคชีวิตแก่ประชาชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคน การให้การศึกษาต้องใหการศึกษาอย่างต่อเนื่องกันไป ตราบเท่าที่บุคคลยังดำรงชีวิตอยู่ในชุมชน
1.3 หลักการดำเนินงานพัฒนาชุมชน
จากปรัชญา และแนวคิดพื้นฐานของการพัฒนาชุมชนได้นำมาใช้เป็นหลักในการดำเนินงานพัฒนาชุมชน ดังต่อไปนี้
1. ยึดหลักความมีศักดิ์ศรี และศักยภาพของประชาชน และเปิดโอกาสให้ประชาชนใช้ศักยภาพที่มีอยู่ให้มากที่สุด นักพัฒนาต้องเชื่อมั่นว่าประชาชนนั้นมีศักยภาพที่จะใช้ความรู้ ความสามารถที่จะปรับปรุง พัฒนาตนเองได้ จึงต้องให้โอกาสประชาชนในการคิด วางแผนเพื่อแก้ปัญหาชุมชนด้วยตัวของเขาเองนักพัฒนาควรเป็นผู้กระตุ้น แนะนำ ส่งเสริม
2. ยึดหลักการพึ่งตนเองของประชาชน นักพัฒนาต้องยึดมั่นเป็นหลักการสำคัญว่าต้องสนับสนุนให้ประชาชนพึ่งตนเองได้ โดยการสร้างพลังชุมชนเพื่อพัฒนาชุมชนส่วนรัฐบาลจะช่วยเหลือ สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และช่วยเหลือในส่วนที่เกินขีดความสามารถของประชาชน
3. ยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมคิด ตัดสินใจ วางแผน ปฏิบัติตามแผน และติดตามประเมินผลในกิจกรรม หรือโครงการใด ๆ ที่จะทำในชุมชน เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการดำเนินงาน อันเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในเรื่องความเป็นเจ้าของโครงการ หรือกิจกรรม
4. ยึดหลักประชาธิปไตย ในการทำงานพัฒนาชุมชนจะต้องเริ่มด้วยการพูดคุย ประชุม ปรึกษาหารือร่วมกัน คิดร่วมกัน ตัดสินใจ และทำร่วมกัน รวมถึงรับผิดชอบร่วมกันภายใต้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตยองค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดหลักการดำเนินงานพัฒนาชุมชนไว้ 10 ประการ คือ
8.
• ต้องสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชน
• ต้องเป็นโครงการเอนกประสงค์ที่ช่วยแก้ปัญหาได้หลายด้าน
• ต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติไปพร้อม ๆ กับการดำเนินงาน
• ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่
• ต้องแสวงหาและพัฒนาให้เกิดผู้นำในท้องถิ่น
• ต้องยอมรับให้โอกาสสตรี และเยาวชนมีส่วนร่วมในโครงการ
• รัฐต้องเตรียมจัดบริการให้การสนับสนุน
• ต้องวางแผนอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพทุกระดับ
• สนับสนุนให้องค์กรเอกชน อาสาสมัครต่าง ๆ เข้ามีส่วนร่วม
• ต้องมีการวางแผนให้เกิดความเจริญแก่ชุมชนที่สอดคล้องกับความเจริญในระดับชาติด้วย
1.4 กระบวนการทำงานพัฒนาชุมชน การปฏิบัติงานพัฒนาชุมชนเป็นงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เป็นกระบวนการดังนี้
1. การศึกษาชุมชน เป็นการเสาะแสวงหาข้อมูลต่าง ๆ ในชุมชน เช่น ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และสภาพความเป็นอยู่ของคนในชุมชน เพื่อทราบปัญหาและความต้องการของชุมชนที่แท้จริง วิธีการในการศึกษาชุมชนอาจต้องใช้หลายวิธีประกอบกันทั้งการสัมภาษณ์ การสังเกต การสำรวจ และการศึกษาข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในชุมชนด้วย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด กลวิธีที่สำคัญที่นักพัฒนาต้องใช้ในขั้นตอนนี้ คือ การสร้างความสัมพันธ์กับคนในชุมชน เพราะถ้าหากปราศจากสัมพันธภาพที่ดีระหว่างพัฒนากรกับชาวบ้าน แล้วเป็นการยากที่จะได้รู้ และเข้าใจปัญหาความต้องการจริง ๆ ของชาวบ้าน ความสัมพันธ์อันดี จนถึงขั้นความสนิทสนม รักใคร่ ศรัทธา จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องปลูกฝังให้เกิดขึ้นกับคนในชุมชน
2. การให้การศึกษาแก่ชุมชน เป็นการสนทนา วิเคราะห์ปัญหาร่วมกับประชาชนเป็นการนำข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากขั้นตอนการศึกษาชุมชน มาวิเคราะห์ถึงปัญหาความต้องการและสภาพที่เป็นจริง ผลกระทบ ความรุนแรง และความเสียหายต่อชุมชน กลวิธีที่สำคัญในขั้นตอนนี้คือ การกระตุ้นให้ประชาชนได้รู้ เข้าใจ และตระหนักในปัญหาของชุมชน ซึ่งในปัจจุบันก็คือ การจัดเวทีประชาคม เพื่อค้นหาปัญหาร่วมกันของชุมชน
9.
3. การวางแผน / โครงการ เป็นขั้นตอนให้ประชาชนร่วมตัดสินใจ และกำหนดโครงการ เป็นการนำเอาปัญหาที่ประชาชนตระหนัก และยอมรับว่าเป็นปัญหาของชุมชนมาร่วมกันหาสาเหตุ แนวทางแก้ไข และจัดลำดับความสำคัญของปัญหา และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจที่จะแก้ไขภายใต้ขีดความสามารถของประชาชน และการแสวงหาความช่วยเหลือจากาภายนอกกลวิธีที่สำคัญในขั้นตอนนี้ คือ การให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการแก้ไขปัญหา วิธีการวางแผน การเขียนโครงการ โดยใช้เทคนิคการวางแผนแบบให้ประชาชนมีส่วนร่วม
4. การดำเนินงานตามแผนและโครงการ โดยมีผู้รับผิดชอบในการดำเนินการตามแผนและโครงการที่ได้ตกลงกันไว้ กลวิธีที่สำคัญในขั้นตอนนี้ คือ การเป็นผู้ช่วยเหลือสนับสนุนใน 2 ลักษณะ คือ
4. เป็นผู้ปฏิบัติงานทางวิชาการ เช่น แนะนำการปฏิบัติงาน ให้คำปรึกษาหารือในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน
4.2 เป็นผู้ส่งเสริมให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติงาน
5. การติดตามประเมินผล เป็นการติดตามความก้าวหน้าของงานที่กำลังดำเนินการตามโครงการ เพื่อการปรับปรุงแก้ไขปัญหา อุปสรรคที่พบได้อย่างทันท่วงที กลวิธีที่สำคัญในขั้นตอนนี้ คือ การติดตามดูแลการทำงานที่ประชาชนทำ เพื่อทราบผลความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรค แล้วนำผลการปฏิบัติงานตามโครงการ หรือกิจกรรมไปเผยแพร่เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้ทราบสามารถกระทำได้โดย
5.1 แนะนำให้ผู้นำท้องถิ่นหรือชาวบ้าน ติดตามผลและรายงานผลด้วยตนเอง เช่น รายงานด้วยวาจา รายงานเป็นลายลักษณ์อักษร การจัดนิทรรศการ เป็นต้น
5.2 พัฒนากรเป็นผู้รายงานผลการปฏิบัติงานด้วยตนเอง เช่น รายงานด้วยวาจาต่อผู้บังคับบัญชาและผู้เกี่ยวข้อง เสนอผลการปฏิบัติงานต่อที่ประชุม ทำบันทึกรายงานตามแบบฟอร์มต่าง ๆ ของทางราชการ
ยังมีอีกแนวคิดหรือหลักการพัฒนาชุมชนเพื่อให้สอดคล้องกับจังหวัดแถวภาคใต้ซึ่งเป็นชุมชนของมุสลิมเสียส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นหลักแนวคิดที่เป็นสุขอย่างยั่งยืนด้วย
10.
แนวคิดการพัฒนาชุมชนมุสลิม ที่เป็นสุขอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันมีหลายองค์กรเข้าไปพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐไม่ว่าจะเป็นศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้และหน่วยความมั่นคงนำโดยกองทัพภาคที่ 4 อันเนื่องมาจากมีงบประมาณมหาศาล ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ แนวคิดการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคอย่างเข้าใจและเข้าถึงก่อนพัฒนาจึงมีความสำคัญก่อนจะไปกำหนดยุทธศาสตร์และนำแผนไปปฏิบัติ
ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในภาพรวมของการพัฒนาชุมชนคงไม่ต่างมากนักโดยเฉพาะ ปัญหาในการพัฒนาชุมชน
ผู้อ่านคงเคยได้ยินคำว่า มาม่า ไวไวและยำยำ ในการทำงานพัฒนาชุมชน
คำว่า มาม่า หมายถึง รัฐบาลหรือองค์กรพัฒนาเป็นผู้จัดการทำให้หมดเหมือนแม่ที่ดูแลปกป้องลูกจนในที่สุดก็ไม่สามารถช่วยตัวเองได้
ไวไว หมายถึง ลักษณะคนไทยที่ชอบทำอะไรให้เสร็จเร็ว ๆ ชอบทำอะไรให้เห็นผลเร็ว ๆ หรือสนใจร่วมทำกิจกรรม แต่ในระยะแรกเริ่มแล้วก็หมดความสนใจอย่างรวดเร็ว
ยำยำ หมายถึงความสับสน ซ้ำซ้อนของหน่วยงานที่เข้าไปดำเนินการเรื่องเดียวกัน จนส่งผลให้เกิดปัญหาการเกี่ยงและการไม่รับผิดชอบเมื่อเกิดปัญหา
นั้นคือสิ่งที่สังคมสะท้อนการทำงานของรัฐในการพัฒนาชุมชนซึ่งจากการศึกษาพบว่า ปัญหาดังกล่าว สามารถ สรุปได้ว่า มีอยู่ 4 ประการด้วยกันคือ
• จากพัฒนากร หรือนักพัฒนาซึ่ง มีความรู้ความเข้าใจ และอุดมการณ์การพัฒนาไม่ดีพอ เมื่อต้องเข้าไปอยู่ในชุมชนต้องเผชิญกับปัญหาและความยากลำบากของประชาชนจึงขาดขวัญ-กำลังใจ ไม่สามารถดำเนินการ และหรือเกิดความท้อถอยหรือไม่สามารถทำงานอุทิศทุ่มเทให้กับการพัฒนาได้
• จากวิธีการดำเนินงานของรัฐบาล ซึ่งมีวิธีการสั่งการและปฏิบัติการจากข้างบนลงล่าง กล่าวคือโดยหลักการพัฒนาจะต้องเกิดจากความต้องการจากข้างล่าง (Bottom Up) โดยการเปิดโอกาส ให้ประชาชนคิดเอง แก้ปัญหาเอง ทางรัฐเป็นเพียงที่ปรึกษา
11.
• ความซ้ำซ้อนของกิจกรรมการพัฒนา มีหน่วยงานองค์กรหลายๆ องค์กรที่เข้าไปทำงานเดียวกัน ซึ่งอาจมีรูปแบบวิธีการทำงานที่เหมือนหรือต่างกัน ทำให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องด้วยเกิดความสับสนและในขณะเดียวกันหน่วยงานนั้นก็แก่งแย่งงานกันทำแต่เมื่อเกิดความผิดพลาดจะไม่แย่ง กันรับผิดชอบ
• การฉ้อราษฎร์บังหลวง มีนักพัฒนาจำนวนไม่น้อยที่เบียดบังงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ ไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว รวมทั้งการเบียดบังเวลาทำงานไปทำงานอื่นส่วนตัวด้วย
จากปัญหาดังกล่าวผู้เขียนได้ร่วมคิดกับคณะทำงานเครื่อข่ายพัฒนาชุมชนจังหวัดภาคใต้เช่นอาจารย์วศิน สาเม๊าะอาจารย์ซาการียา บิณยูซูฟและอาจารย์มานะ ช่วยชู ขอเสนอแนวคิดการพัฒนาชุมชนมุสลิมที่เป็นสุขอย่างยั่งยืนดังนี้
1 .ฐานคิดในการดำเนินการ
1.1 แนวคิด "เบญจภาคี" อันประกอบด้วย
• การพัฒนายุทธศาสตร์ ต้องร่วมกันพัฒนา ร่วมกันเข้าใจ และร่วมกันปฏิบัติ แต่ความเข้าใจเชิงยุทธศาสตร์ในภาคีต่างๆ มีไม่เท่าเทียมกัน จึงควรมีการทำความเข้าใจภาคีเครือข่ายที่มีวิถีชีวิตอย่างสมานฉันท์และสันติวิธี
• การสร้างความเป็นเอกภาพของภาครัฐ โดยเน้นกลไกการมีส่วนร่วมในการพัฒนายุทธศาสตร์ การค้นหาผู้นำ การมีเครื่องมือและกลไกในการขับเคลื่อนความเป็นเอกภาพด้วยการใช้งานวิจัยเพื่อชุมชนโดยชุมชนเป็นฐานในการขับเคลื่อนความเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์ และใช้กระบวนการทางสังคมและความเคลื่อนไหวสื่อมวลชนท้องถิ่นมีการสร้างชุมชนเป็นสุข
• กระบวนการทางสังคมที่สนับสนุนให้ภาคประชาชน ภาคท้องถิ่น และภาคท้องที่ อย่างเช่น กระบวนการชูรอ กระบวนการซากาต เข้ามาร่วมเรียนรู้และร่วมผลักดันให้เกิดตำบลแห่งสันติสุข
• การเคลื่อนไหวโดยสื่อสารกับสังคมด้วย สื่อมวลชนทุกประเภท ทั้งประเภทสิ่งพิมพ์ เช่น จดหมายข่าวภาษาถิ่น นักข่าวพลเมือง เป็นต้น
• ภาคีเครือข่ายเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติประสานการพัฒนายุทธศาสตร์
12.
1.2 การใช้กระบวนทัศน์อิสลามหรือวิถีศาสนธรรมเพื่อการพัฒนา การใช้กระบวนทัศน์อิสลามหรือวิถีศาสนธรรม หมายถึง การพัฒนาเป็นไปตามวิถีอิสลาม เป็นทั้งระบบความเชื่อและแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ครอบคลุมพฤติกรรมของมนุษย์ในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่เกิดจนตายโดยมีรากฐานจากคัมภีร์อัลกุรอาน และอัซซุนนะห์ (อัซซุนนะห์ หมายถึง แบบฉบับหรือแนวปฏิบัติ) เป็นธรรมนูญในการดำเนินชีวิต ของท่านศาสดามูฮัมมัดให้ดำเนินการเจริญรอยตามมีหลักและแนวปฏิบัติวางไว้ครอบคลุมทุกด้าน มีบทบัญญัติกำชับไว้ทุกประการไม่ว่าจะเป็นด้านศีลธรรม จรรยาบรรณ สังคม วัฒนธรรมและเรื่องสุขภาพ เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง มีระบบยุติธรรม การคลี่คลายข้อขัดแย้ง การศึกษา การแต่งงาน การครองเรือน การอย่าร้าง การแบ่งมรดก และอื่นๆ ดังนั้นการเคลื่อนงานการพัฒนาชุมชนสุขภาวะต้องดำเนินการไปตามกรอบ จึงจะนำไปสู่การยอมรับจากชุมชนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และที่สำคัญต้องมีการดูแลจัดการให้เกิดการปรับเปลี่ยนนโยบายรัฐตามวิถีของชุมชน ทั้งด้านสาธารณสุข ด้านสวัสดิการ ด้านการศึกษา และผลักดันให้เกิดกระบวนการจัดการชุมชนด้วยระบบชูรอตามมิติอิสลามการใช้กระบวนการมีส่วนร่วมกับทุกฝ่าย (ชูรอ) และชุมชนจัดการตนเองได้ การส่งเสริมให้เกิดผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน
1.3 ประสบการณ์ในการดำเนินงานเดิมจะเป็นรูปแบบในการขับเคลื่อนการเสริมสร้างชุมชนเป็นสุข ภายใต้การกระบวนการเชิงปฏิบัติการผ่านเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากชุมชนต้นแบบภายใต้การวิเคราะห์ และทบทวนศักยภาพทุนทางสังคมของตนเองควบคู่กับการศึกษาระบบเริ่มต้นในเรื่อง ระบบการศึกษาแบบบูรณาการ ระบบสวัสดิการชุมชนด้วยซากาด ระบบการจัดการโดยชุมชนด้วยชูรอ และระบบการพัฒนาอาชีพ เพื่อนำไปสู่การจัดการสุขภาวะของชุมชนต้นแบบ และนำไปสู่ชุมชนขยายที่สามารถขยายประเด็นหรือระบบย่อยต่างๆ ตามสภาพของชุมชนให้นำไปสู่กระบวนการดำเนินงานต่อไป
1.4 ขบวนการดำเนินงาน เน้นบทบาทภาคประชาชน องค์กรชุมชน ผู้นำทางศาสนา ในการดำเนินงานเพื่อเป็นกลไกกำหนดทิศทางการพัฒนาชุมชนของตนเองให้สามารถขับเคลื่อนประเด็นเฉพาะในพื้นที่ กอปรกับความมุ่งมั่นของภาคีเชิงยุทธศาสตร์ (ภาคีหลัก (ดำเนินงาน) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน) ภาคประชาชน : ผู้นำศาสนา กรรมการประจำมัสยิด องค์กรชุมชน เป็นต้น ภาคียุทธศาสตร์ (ร่วมพัฒนา)เช่น ศูนย์อำนวยการบริหาร
13.
จังหวัดชายแดนภาคใต้ สถานีอนามัยหรือศูนย์บริการสุขภาพชุมชนในพื้นที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันยาเสพติด (ปปส.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน องค์การมหาชน (พอช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สถาบันจัดการระบบสุขภาพภาคใต้ (สจรส.) สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติยะลา มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์วิทยาลัยชุมชน) ที่สนับสนุนให้ระบบสนับสนุนในการพัฒนา ประชาชนสามารถจัดการตนเองบนพื้นฐานความหลากหลาย ให้เกิดอิสระในการดำเนินงาน ควบคู่กับความเชี่ยวชาญของทีมงานในกระบวนการดำเนินงานทำให้เกิดการขับเคลื่อน และการทำงานร่วมกันของคนนอกที่มีประสบการณ์การทำงานในพื้นที่เป็นอย่างดี จนเกิดการผสมผสานเป็นกระบวนการทำงานที่ตอบสนองต่อหลักการ "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" ในที่สุด
2. ทุนทางสังคมของจังหวัดชายแดนภาคใต้
การพัฒนาชุมชนที่สามารถพัฒนาสู่การพึ่งพาตนเองได้นั้น ทุนทางสังคมที่มีอยู่ในชุมชนมีความสำคัญมาก
เป็นที่ทราบกันดีว่า ในพื้นที่จังหวัดจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย และมีภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถเสริมสร้างศักยภาพและเพิ่มมูลค่า โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมทั้งจิตภาพและกายภาพ ด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือทุนทางสังคมของเครือข่ายจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีการดำเนินการด้านต่างๆ จนเกิดเป็นระบบการดำเนินงานใน 4 ระบบ ดังนี้
1. ระบบการศึกษาแบบบูรณาการ
การบูรณาการหลักสูตรในระดับประถมศึกษาในโรงเรียนของรัฐโดยมีชุมชนร่วมออกแบบ ยกร่างหลักสูตร การบูรณาการรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับหลักปฏิบัติในมิติของศาสนาทั้ง 3 มิติ ได้แก่
14.
1. มิติความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับอัลลอฮ (ศาสนกิจ)
2. มิติความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ (การอยู่ร่วมกันในสังคมที่หลากหลาย)
3. มิติความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
การดำเนินการของเครือข่าย ได้นำเอาหลักการบูรณาการด้านการศึกษาเข้ามาดำเนินการในหลายตำบล เช่น ตำบลจะแนะ ได้มีการนำเนื้อหาของวิชาศาสนาอิสลามบูรณาการเข้ากับหลักสูตรประถมศึกษาของโรงเรียน ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้เรื่องศาสนาเพิ่มขึ้นในเวลาเรียนปกติ ชุมชนบ้านโคกยางตำบลสะกอม อำเภอจะนะจังหวัดสงขลาซึ่งเป็นชุมชนชนบทได้พัฒนาระบการศึกษาหลักสูตร Intensive Arabic English Program (IAEP) เป็นการดำเนินการในรูปแบบของการเรียนการสอน ๒ ภาษา อย่างเข้มข้นคือเรียนอิสลามศึกษาด้วยภาษาอาหรับโดย และภาษาอังกฤษในสาระวิชาภาอังกฤษ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและไม่มีการแปลในระดับประถมศึกษา หรือรูปแบบการจัดการศึกษาแบบปอเนาะโมเดอร์น (สมัยใหม่) ของตำบลตะโล๊ะ จังหวัดปัตตานี เป็นต้น
2. ระบบสวัสดิการชุมชนด้วการจัดการซากาต
ซากาต ถือเป็นระบบสวัสดิการหลักตามศาสนบัญญัติของอิสลาม ประเภทใหญ่ๆ คือ 1) ซากาตมาล หรือ ซากาตทรัพย์สิน หมายถึงการที่มุสลิมถือครองทรัพย์สินตามพิกัดที่ศาสนากำหนดไว้จนครบรอบ 1 ปี หรือช่วงระยะเวลาหนึ่งที่จะต้องจ่าย บังคับให้มุสลิม 8 ประเภท ตามอัตราที่ถูกกำหนดไว้ 2) ซากาตฟิตเราะฮ์ (บาดานียะห์) หมายถึงการที่มุสลิมทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย จะต้องจ่ายทานบังคับให้กับมุสลิม โดยใช้อาหารหลักของท้องถิ่นบริจาคตามพิกัดที่ถูกกำหนดไว้ในการดำเนินการของเครือข่าย ได้นำหลักการบริหารจัดการของกองทุนซากาต เข้ามาดำเนินการในพื้นที่ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และถูกต้องตามหลักการทางศาสนา โดยในหลายชุมชนที่ได้เริ่มต้นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาใหม่ เช่น ในพื้นที่ตำบลจะแนะ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการซากาตในชุมชน เพื่อทำการศึกษาข้อมูลซากาตประเภทต่างๆ ในแต่ละชุมชน รวมทั้งเป็นองค์กรที่รวบรวมซากาตและแจกจ่ายซากาตแก่บุคคลที่มีคุณสมบัติตามหลักการศาสนาอิสลามได้กำหนด นอกจากแต่ละชุมชนจะมีคณะกรรมการในองค์กรซากาตแล้ว ยังมีข้อมูลของซากาตประเภทต่างๆของชุมชนอีกด้วย หรือในพื้นที่ชุมชนบ้านบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานีซึ่งนอกจากดำเนินการเรื่องกองทุนซากาตแล้ว ยังมีการจัดตั้งกองทุนซากาตของกลุ่มมูอัลลัฟโดยเฉพาะด้วย (กองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เพิ่งเข้านับถือศาสนาอิสลาม)
15.
3. ระบบการจัดการชุมชนด้วยระบบชูรอ (สภาทีปรึกษาชุมชน)
การบริหารจัดการชุมชนด้วย “ระบบชูรอ” ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับบุคคลผู้มีความเกี่ยวข้องกับชุมชน ทั้งผู้นำศาสนา ผู้นำอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ผู้นำตามตำแหน่ง ผู้นำตามธรรมชาติ เพื่อการปรึกษาหารือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชุมชน ซึ่งมีการหารือถึงสาเหตุ แนวทางแก้ปัญหาในชุมชน โดยมีสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย แกนนำในชุมชนตัวแทนเจ้าหน้าที่รัฐ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิก อบต.ฯลฯ) ตัวแทนกลุ่มองค์กรในชุมชน ปราชญ์ชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผู้นำตามธรรมชาติ ผู้นำศาสนา นักศึกษา ฯลฯ
สภาชูรอเป็นการประชุมโดยคณะบุคคลหลากหลายฝ่าย เพื่อหามติในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้เป็นไปตามแนวทางในการจัดการชุมชนโดยยึดหลักภายใต้บทบัญญัติทางศาสนา หาแนวทาง
4. ระบบการพัฒนาอาชีพ
• มีแหล่งเรียนรู้การประกอบอาชีพ เช่น สวนสมรม การประมงพื้นบ้าน และการแปรรูปสัตว์น้ำ ที่บ้านปลายทอน จ. นราธิวาส การเย็บหมวกกะปิเยาะ ที่ตำบลตาโล๊ะ จ. ปัตตานี
• มีแหล่งเรียนรู้ในการผลิตผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน เช่น กริชรามัน
16.
3. กรอบแนวคิดในการดำเนินการ
จากองค์ความรู้ดังกล่าว จะนำไปสู่การสร้างฐานความเข้าใจสถานการณ์ชุมชนภาคใต้ในระดับหนึ่งส่งผลให้กรอบแนวคิดในการทำงานต้องอาศัยการขับเคลื่อนเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายชุมชนเป็นสุขจากทีมงานที่เชี่ยวชาญเรื่องกระบวนการ ภายใต้การมีส่วนร่วมใน 5 ขั้นตอนคือ การวางแผน (Planning) การปฏิบัติ (Doing) การตรวจสอบ (Checking) และลงมือปฏิบัติจริง (Action) หลังจากนั้นสำหรับมุสลิมจะมีการขอพรเพื่อประสบความสำเร็จในงานที่ปฏิบัติและมอบหมายต่อพระเจ้า(Dua and Tawakal)ในขณะเดียวกันจะต้องไม่ลืมให้ คนนอกทีมีประสบการณ์การทำงานภายในพื้นที่และเข้าใจชุมชนมุสลิมเป็นอย่างดี ร่วมสนับสนุน รวมทั้งให้ผู้วิจัยสามารถทำความเข้าใจสถานการณ์ชุมชน และทุนทางสังคมของตนเองเพื่อให้เกิดการรับรู้สถานะของชุมชนตนเอง และนำเข้าสู่กระบวนการขับเคลื่อนเรียนรู้จากการประชุมเชิงปฏิบัติการในพื้นที่ต้นแบบที่สามารถสร้างความรู้ในบริบทของชุมชนที่ใกล้เคียงกัน เพื่อปรับแนวคิดในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างแหล่งต้นแบบและชุมชน ซึ่งส่งผลให้เกิดแนวทางในการดำเนินการจัดการสุขภาวะในชุมชนผ่านกลไกทางสังคมทางศาสนา อย่างเช่น กระบวนการซากาต กระบวนการชูรอ ร่วมกับกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระบบย่อย ที่สามารถสร้างการเรียนรู้ที่นำไปสู่การขยายชุมชนเรียนรู้ได้คือ ระบบการศึกษาแบบบูรณาการ ระบบสวัสดิการด้วยซากาต ระบบการจัดการในชุมชนด้วยกระบวนการชูรอ และระบบการพัฒนาอาชีพ และอาศัยกลไกของการค้นหาองค์ความรู้ของชุมชนผ่านการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชนโดยชุมชน ที่ต้องใช้การวิเคราะห์ สังเคราะห์ ถอดความรู้ประเด็นที่ต้องการขับเคลื่อน หรือประเด็นเร่งด่วนในการสร้างนโยบายสาธารณะ และจัดทำเป็นกรณีศึกษาโดยนักวิจัยในพื้นที่ โดยยึดหลักให้เข้าใจร่วมกันพัฒนา ร่วมกันเข้าใจ และร่วมกันปฏิบัติด้วยกระบวนการทางสังคมอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามการขับเคลื่อนทั้งหมดจำเป็นต้องอาศัยภาคียุทธศาสตร์ที่มีความมุ่งมันสนับสนุนและส่งเสริมให้ชุมชนจัดการตนเอง บนฐานความหลากหลายอย่างอิสระเพื่อนำไปสู่สุขภาวะในพื้นที่ได้ในที่สุด
4. แนวทางการดำเนินงาน
การดำเนินงานควรประกอบด้วยอย่างน้อย 4 แผนงาน ดังนี้ 1) การพัฒนาศักยภาพพื้นที่ 2) การพัฒนาชุมชนเครือข่าย 3) การวิจัยเพื่อพัฒนาสุขภาวะชุมชนโดยชุมชน และ 4) การสื่อสารและแลกเปลี่ยนเรียนกับสังคม โดยมีรายละเอียด ดังนี้
17.
1. แผนงานการพัฒนาศักยภาพพื้นที่
หลักการ เพื่อยกระดับชุมชนของเครือข่ายชายแดนภาคใต้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ มีความสามารถในการเรียนรู้ร่วมกับสมาชิกเครือข่าย สื่อสารกับสมาชิกเครือข่าย ตลอดจนมีการพัฒนาคุณภาพเกี่ยวกับการจัดการสุขภาวะของชุมชนอย่างต่อเนื่อง
วิธีการดำเนินงาน จัดประชุมเชิงปฏิบัติการแกนนำชุมชนเพื่อค้นหาทุนทางสังคมที่ใช้ในการจัดการสุขภาวะของชุมชนที่มีอยู่ที่ถือเป็นชุมชนต้นแบบ เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับชุมชนเครือข่ายและชุมชนขยายผล จัดอบรมและการศึกษาดูงานให้กับผู้นำของชุมชน เพื่อให้มีศักยภาพในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่มี และรวบรวมเป็นสื่อประเภทต่างๆ ตามความเหมาะสม พัฒนาหลักสูตรประจำแหล่งเรียนรู้ เพื่อใช้ในการถ่ายทอดและเรียนรู้ร่วมกับตำบลเครือข่าย เป็นต้น
2) การพัฒนาเครือข่าย
หลักการ การสร้างความเชื่อมโยงของระบบภายในเครือข่ายของชุมชนสุขภาวะต้นแบบ และขยายผลไปสู่ชุมชนที่สนใจ โดยชุมชนขยายผลสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้เพื่อจัดการสุขภาวะชุมชนโดยชุมชนได้อย่างสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ของตนผ่านการปรับเปลี่ยนเชิงนโยบาย การบริหารจัดการ และการพัฒนาแกนนำ
3) การวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชนโดยชุมชน
หลักการ ใช้วิธีการสังเกต การถอดบทเรียน การวิจัยประเด็นเร่งด่วน และสรุปบทเรียนเป็นกรณีศึกษาของแต่ละพื้นที่โดยนักวิชาการที่มีประสบการณ์ รวมทั้งสร้าง ”เครือข่ายนักวิชาการท้องถิ่นสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้เพื่อการจัดการสุขภาวะชุมชน” เพื่อการนำใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ที่มีความแตกต่างกันทางวัฒนธรรม
18.
วิธีการดำเนินงาน
1. นักวิชาการเข้าไปร่วมเรียนรู้และร่วมถอดบทเรียนเพื่อใช้เป็นปัจจัยนำเข้าของพื้นที่แต่ละชุมชน
2. มีการนำเสนอข้อมูลเพื่อตรวจสอบความแม่นยำทางวิชาการ
3. มีกิจกรรมค้นหาประเด็น หัวข้อการศึกษาวิจัย ออกแบบงานวิจัย และดำเนินการศึกษาวิจัย โดยการศึกษาเปรียบเทียบการดำเนินการระหว่างพื้นที่ต้นแบบกับพื้นที่ขยายผล
4) การสื่อสารและการแลกเปลี่ยนกับสังคม
หลักการ การเผยแพร่ระบบการจัดการสุขภาวะชุมชนในแต่ละเรื่องและประเด็น โดยการใช้สื่อสาธารณะสำหรับการเผยแพร่ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมถึงการขยายผลให้กับชุมชนอื่นๆ ที่สนใจโดยใช้ความเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของชุมชน
วิธีการดำเนินงาน
เช่น อบรมนักข่าวพลเมืองเพื่อเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดข้อมูล ผลิตสื่อ แผ่นพับ จดหมายข่าวภาษามลายู เพื่อขยายผลกระบวนการดำเนินงานของโครงการให้สังคมได้ทราบ เพื่อให้ภายในและระหว่างเครือข่ายต่างๆได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้
วิธีการพัฒนา การมีส่วนร่วม
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือการแก้ปัญหาในชุมชนโดยปัญหาที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วว่ามันคือปัญหาที่ต้องแก้ไขขั้นแรกต้องแก้ปัญหาก่อนแล้วค่อยพัฒนาให้ดีขึ้นส่วนปัญหาที่ต้องแก้ไขรวมทั้งพัฒนาให้มันดีขึ้นมีดังนี้:-
1. ปัญหาด้านการศึกษา
1.1 โดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งฝ่ายสถานศึกษาและผู้ปกครอง คือสถานศึกษาต้องมีความเข้มงวดมากขึ้นรวมถึงขอความร่วมมือกับผู้ปกครองในการทำการบ้านเพราะการบ้านเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถเสริมสร้างประสิทธิภาพในการเรียนให้มันดีขึ้น
1.2 ในกรณีที่จบชั้นป.6 ไปแล้วเด็กต้องมีการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นไป คือทำยังไงก็ได้ให้เด็กสามารถต่อยอดในระดับที่สูงขึ้นไปได้
19.
1.3 ส่วนในเรื่องที่ว่าในชุมชนแถบนี้มีค่านิยมผิดๆเกี่ยวกับการศึกษาสายสามัญเป็นการศึกษาในเรื่องของศาสนาพุทธ ต้องมีการสร้างแนวคิดใหม่ ว่าความจริงมันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเพราะศาสนาอิสลามไม่ได้มีข้อห้ามเกี่ยวกับการศึกษา จะมีเฉพาะบางศาสตร์เท่านั้นที่อิสลามได้ห้าม คือศาสตร์ที่เกี่ยวกับความงมงายหรือทางไสยศาสตร์ ส่วนการศึกษาสายสามัญถ้าคุณมีปัญญาเรียนถึงปริญญาเอกได้ก็จะเป็นการดีที่สุด
2. ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
2.1 สำหรับปัญหานี้ต้องแก้กันมากเพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะทำให้ทุกคนในชุมชนร่ำรวย แต่ที่ทำได้ก็คือทำยังไงให้คนในชุมชนมีความสุข ร่ำรวยรอยยิ้ม มีอันจะกินไม่อดอยากจนเกินไป วันนี้โชคดีด้วยพระบารมีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีโครงการและพระราชทานแนวคิดทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าใครนำไปใช้ก็จะเกิดความพอเพียงและมีความสุขในทุกๆด้านของชีวิต
2.2 ต้องพยายามผลักดันให้มีการรวมกลุ่มไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มสหกรณ์ เป็นต้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน
2.3 ต้องพยายามให้มีการพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพดีเพื่อให้มีอำนาจต่อรองด้านราคา รวมทั้งเมื่อมีการรวมกลุ่มกันก็สามารถต่อรองกับพ่อค้าคนกลางได้หรือสามารถตัดพ่อค้าคนกลางออกไปได้เลย
3. ปัญหาผู้นำขาดสภาวะความเป็นผู้นำ
เริ่มไม่แน่ใจว่าที่แท้จริงศัพท์เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างไร แต่ขอใช้คำนี้เพราะโดยส่วนตัวรู้สึกว่ามันเหมาะสมกับสถานการณ์ ในชุมชนนี้เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ สำหรับแนวทางแก้ปํญหามีกันหลายทางดังนี้:-
3.1 ต้องพยายามหาคนที่อาวุโสและเป็นที่เคารพนับถือเพื่อช่วยในการการดึงแนวคิดที่ถูกต้องคืนมา
3.2 ต้องพยายามอย่าให้เฉพาะกลุ่มผู้นำเท่านั้นที่มีอำนาจผูกขาดในเรื่องของงบประมาณ คณะกรรมการหมู่บ้านทั้งหมดต้องมีส่วนร่วมในการบริหารหมู่บ้าน
3.3 ต้องมีการประชุมคณะกรรมการหมู่บ้านประจำเดือน ในกรณีที่ผู้นำไม่จัดประชุมประจำเดือน คณะกรรมการหมู่บ้านที่เหลือต้องจัดกันเองเพราะทุกๆปัญหาสามารถแก้ได้โดยอาศัยการระดมความคิดจากหลายๆฝ่ายและที่สำคัญต้องแก้โดยผ่านความเห็นชอบจากการประชุมหารือกัน
3.4 ถ้ายังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ก็ต้องขอช่วยหน่วยเหนือให้ช่วยแก้ปัญหาให้โดยผ่านการร้องเรียน
4. ปัญหาด้านความสามัคคีปรองดองในสังคม
สำหรับปัญหาในข้อนี้ก็ต้องอาศัยการประชุมในการแก้ปํญหารวมทั้งต้องอาศัยสภาวะความเป็นผู้นำของผู้นำในการแก้ปัญหาต้องพยายามทุกวิถีทางในการสร้างความสมานฉันท์ให้บังเกิดขึ้นในสังคม
20.
5. ปัญหาด้านยาเสพติด
สำหรับปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆฝ่ายในการแก้ปัญหาทังผู้นำก็ดี ทั้งผู้ปกครองเองก็ดี ช่วยกันเป็นหูเป็นตาในการที่จะยับยั้งในการระบาดของยาเสพติดสำหรับทางแก้ที่คาดว่าจะได้ผลมีดังนี้คือ:-
5.1 พยายามทุกวิธีทางในการที่จะไม่ให้มีผู้ค้ายาเสพติดทุกประเภทในชุมชนโดยวิธีการที่ละมุนละม่อมที่สุดในอันดับแรก ซึ่งในขั้นตอนสุดท้ายถ้ายังดื้อดึงในการค้ายาเสพติดในชุมชน ก็ต้องมีการส่งข้อมูลแก่ทางการเพื่อจะนำไปสู่การจับกุมให้หมดสิ้นไปจากสังคม
5.2 ต้องมีการตั้งกฎกติกาในชุมชนสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกประเภท
5.3 สำหรับผู้ปกครองเองก็ต้องอาศัยการสังเกตดูว่าลูกหลานมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ที่จะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่ ถ้าหากว่ามี ก็ต้องแก้ปัญหา เชื่อเหลือเกินว่าถ้าหากทุกๆครอบครัวได้มีการสังเกตุและปฏิบัติกันเช่นนี้ก็สามารถแก้ปัญหาในข้อนี้ได้ในระดับหนึ่ง
6. ปัญหาด้านมลภาวะ ด้านเสียงและสิ่งปฏิกูลริมถนน
6.1 ปัญหาด้านเสียง ถ้าเราจะไปห้ามไม่ให้มีลานซื้อขายไม้ก็ไม่ได้เพราะเขาก็ทำอาชีพสุจริตเหมือนกัน แต่ต้องมองปัญหาว่าเสียงที่รบกวนจริงๆมันจะเป็นช่วงกลางคืนก็ต้องอาศัยการเจรจาว่าถ้าจะทำกันเฉพาะกลางวันจะได้หรือไม่
6.2 สำหรับในเรื่องของขยะก็สามารถแก้ได้ง่ายๆแค่จัดการในเรื่องของการทิ้งขยะและการกำจัดขยะให้หมด แค่นี้หมู่บ้านก็สะอาด
อีกส่วนหนึ่งในเรื่องของการขับรถซิ่งก็ต้องขอความร่วมมือกับผู้ปกครองและตัวเยาวชนเองโดยการหากิจกรรมอื่นที่สร้างสรรค์กว่าทำ ซึ่งให้มันดีกว่าขับรถซิ่งไปวันๆ
7. ปัญหาด้านการเกษตร
7.1 การผลิต ต้องเอาจริงเอาจังในเรื่องของการรณรงค์อย่าให้มีการใช้ปุ๋ยเคมีโดยหันมาใช้ปุ๋ยหรือสารชีวภาพแทน และพัฒนาคุณภาพของผลผลิตให้ทัดเทียมกับความเป็นสากล
7.2 เมื่อเราสามารถพัฒนาผลผลิตให้มันดีแล้วเราก็สามารถมีอำนาจต่อรองกับตลาดได้ในระดับหนึ่งซึ่งถ้าต้องการมีอำนาจต่อรองกับตลาดให้มากขึ้นก็ต้องมีการรวมกลุ่มกันในรูปแบบของกลุ่มหรือสหกรณ์
8. ปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติ
ข้อนี้แก้ยากเพราะต้องปลุกสำนึกและสร้างแนวคิดให้มีการหวงแหนและตระหนักถึงมหันตภัยของการที่ไม่มีป่าไม้เหลืออยู่ เป็นไปได้มั้ยถ้าจะมีการซื้อขายกันเฉพาะไม้ยางพาราเท่านั้นแทนที่จะมีการซื้อขายไม้ทุกอย่างที่ขวางหน้า
21.
สรุป
รายงานเล่มนี้ได้มีการหยิบยกปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในชุมชนหมู่ที่ 7 แห่งนี้ซึ่งเป็นปัญหามายาวนานโดยที่ยังไม่มีผู้ใดมาแก้ การแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือ แต่เฉพาะความร่วมมือกันก็ยังทำกันไม่ได้แล้วจะไปแก้ปัญหากันอย่างไรที่เห็นจะพอมีหนทางอยู่บ้างก็คาดว่าต้องมีการรวมกลุ่มกันของคนยุคใหม่ที่มีความรู้และมีจิตสำนึกที่จะแก้ปัญหาโดยการพูดกันในวงแคบๆก่อน ยกตัวอย่างเช่นในหมู่บ้านมีคณะกรรมการอยู่ 25 คนรวมผู้ใหญ่บ้านด้วย ก็ใช้วิธีการพูดกันในวงแคบๆ 2-3 คนก่อนแล้วค่อยเพิ่มจำนวนไปเรื่อยๆ จากนั้นก็จัดการประชุมเพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนา ประชุมทุกอย่างที่เกี่ยวกับปัญหาเพื่อหาทางแก้ปัญหา โดยอาศัยหลายๆทฤษฏีการแก้ปัญหาที่เหมาะกับชุมชน ซึ่งที่มาของการยกเอา 2 ทฤษฏีมากล่าวก็เพระว่าชุมชนแห่งนี้มีทั้งชุมชนของไทยพุทธและชุมชนของมุสลิม เชื่อว่าในอีกไม่นานถ้าในชุมชนแห่งนี้มีการเอาทฤษฏีในทำนองนี้ไปใช้ก็จะเกิดการพัฒนาที่ดีขึ้นและยั่งยืน และขอขอบคุณท่าน อาจารย์ อับดุลสุโก ดินอะ สำหรับข้อมูลบางส่วนในบล็อกของท่าน
ใบงานที่3 วิชาสงขลาศึกษา
1.
ใบงานที่3
วิทยาลัยชุมชนสงขลา
ชื่อ นายนูรุดดีน สาเร๊ะ เลขที่ 9 สาขา พัฒนาชุมชน
คำชี้แจง ให้นักศึกษาอธิบาย
1. จากการเรียนวิชาสงขลาศึกษา อำเภอต่างๆในจังหวัดสงขลาที่คิดว่ามีความประทับใจมากที่สุด ให้ยกตัวอย่างพร้อมกับเหตุผล ความสำคัญที่นักศึกษาคิดว่าประทับใจให้อธิบายประกอบ
ตอบ
จากการศึกษาวิชาสงขลาศึกษา โดยความรู้สึกส่วนตัวจะมีความประทับใจกับอำเภอหาดใหญ่มากที่สุด เหตุผลเพราะ อำเภอหาดใหญ่จะมีอัตราการขยายตัวในด้านต่างๆสูงที่สุด ซึ่งการขยายตัวของหาดใหญ่เริ่มขึ้นจากการที่มีคนเห็นการณ์ไกลว่าถ้ามีสถานีรถไฟ หาดใหญ่ก็จะเจริญก้าวหน้า หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาเรื่อยมาและเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจในแถบภาคใต้จวบจนปัจจุบัน
ส่วนในด้านของประเพณี วัฒนธรรมหาดใหญ่ก็มีอย่างหลากหลายเพราะมีหลายศาสนาอยู่รวมกันเช่น ศาสนาพุทธก็จะมี ประเพณีทำบุญเดือน10 ,ประเพณีชักพระ,ประเพณีลอยกระทง,การแสดงโนรา,การแสดงหนังตะลุงและการชนโค เป็นต้น ในส่วนของประชาชนเชื้อสายจีนก็จะมีประเพณีวันไหว้พระจันทร์และวันตรุษจีน และในส่วนของศาสนาอิสลามก็จะมีการฉลองเนื่องในวันตรุษ ซึ่งมีอยู่สองวันด้วยกันคือตรุษอีดิ้ลอัฏฮา และตรุษอีดิ้ลฟิตรี
--สถานที่ท่องเที่ยวและที่พักผ่อนหย่อนใจ--
- น้ำตกโตนงาช้าง เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสงขลา อยู่ในเขตท้องที่อำเภอหาดใหญ่ ตำบลทุ่งตำเสา มีน้ำตกหลายชั้นไหลลงมาตามหน้าผาที่เขียวชอุ่มด้วยหมู่แมกไม้วัน สุดสัปดาห์ชาวเมืองมักจะเดินทางไปพักผ่อนเป็นจำนวนมาก
- สวนสาธารณะของเทศบาลเมืองหาดใหญ่ อยู่ใกล้ค่ายเสนาณรงค์ มีบริเวณกว้างขวางมีภูเขา มีสระน้ำ เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง
- มีสนามกอล์ฟ ตั้งอยู่ในค่ายเสนาณรงค์
- โรงแรมและศูนย์การค้า เป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวทำให้เมืองหาดใหญ่เป็นเมืองที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในภาคใต้
ส่วนในด้านของการคมนาคมก็สะดวก เพราะมีท่าอากาศยานนานาชาติ,สถานีรถไฟและมีสถานีขนส่งซึ่งใหญ่และคึกคักมากๆอยู่ด้วย
2. จงบอกจุดเด่นของสภาพแต่ละอำเภอมา1-2ประการ(16 อำเภอ)
ตอบ
1. อำเภอเมืองสงขลา
2.
- เป็นเมืองประวัติศาสตร์
- เคยเป็นเมืองหลวงทางภาคใต้
- มีสะพานติณสูลานนท์
- มีสถาบันทักษิณคดีศึกษา
- ผ้าเกาะยอ
2. อำเภอหาดใหญ่
- น้ำตกโตนงาช้าง
- โรงแรมและศูนย์การค้า
- แหล่งธุรกิจ,ศูนย์การค้าและสถานบันเทิง
3. อำเภอเทพา
- เจดีย์พระสามองค์
- เกาะขาม
- ข้าวแกงไก่ทอด
- รีสอร์ท
4. อำเภอสะบ้าย้อย
- ถ้ำตลอด
- ถ้ำครก
- น้ำตกพระไม่ไผ่
5. อำเภอสะเดา
- น้ำตกโตนลาด
- น้ำตกโตนดาดฟ้า
- น้ำตกโตนน้ำร้อน
6. อำเภอจะนะ
- มีโรงแยกก๊าซไทย-มาเลย์
- มีโรงงานอุตสาหกรรมทำให้ประชาชนในพื้นที่มีงานทำ
7. อำเภอกระแสสินธุ์
- สะตอพันธุ์ดี
- วัดราษฏร์มหานิกาย
- ตาลโตนด
- บ่อน้ำศักสิทธิ์
8. อำเภอระโนด
3.
- งานสมโภชน์เทียนพรรษา
- เทศกาลกินเจ
9. อำเภอสทิงพระ
- อุทยานนกน้ำคูขุด
- ตาลโตนด
- วัดพะโคะ
- หาดมหาราช
10. อำเภอสิงหนคร
- ผลิตภัณฑ์จากตาลโตนด
- งานหัถกรรม
11. อำเภอนาหม่อม
- วัดป่ากอสุวรรณาราม
- ดอกไม้ใบยาง
- ผ้าบาติก
12. อำเภอบางกล่ำ
- หลวงปู่เฟื่อง
- ส้มโอหวาน
13. อำเภอรัตภูมิ
- น้ำตกเจ้าฟ้า
14. อำเภอควนเนียง
- ดินแดนศิลปิน-ศิลปะ
- บล็อกโคลี่
- กะท้อนห่อ
15. อำเภอนาทวี
- อุทยานแห่งชาติเขาน้ำค้าง
16. อำเภอคลองหอยโข่ง
- พ่อขุนคล่องคลองหอย
- ศาลเจ้าแม่กวนอิมพันมือ
3. จากการศึกษาสภาพภูมิศาสตร์ของอำเภอในจังหวัดสงขลาสามารถแบ่งออกได้เป็น3ลักษณะดังนี้:-
4.
3.1 สภาพภูมิศาสตร์ของอำเภอที่ตั้งอยู่ที่ราบชายฝั่ง
3.2 สภาพภูมิศาสตร์ของอำเภอที่ตั้งอยู่ที่ราบและที่ราบลุ่ม
3.3 สภาพภูมิศาสตร์ของอำเภอที่ตั้งอยู่ที่ราบสูงเนินเขา
ให้นักศึกษาบอกอำเภอตามลักษณะสภาพภูมิศาสตร์พร้อมอธิบายเหตุผลประกอบ
ตอบ
อำเภอที่ตั้งอยู่ที่ราบชายฝั่งมีดังนี้:-
- อำเภอระโนด สภาพภูมิศาสตร์คือ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มและตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบมรสุมเมืองร้อนแต่อากาศไม่ร้อนจัดเนื่องจากอิทธิพลของทะเล มี2ฤดูคือฤดูร้อนกับฤดูฝน
- อำเภอสทิงพระ สภาพภูมิศาสตร์คือ สภาพพื้นที่เป็นที่ราบต่ำ มีทะเลขนาบทั้ง2ด้านคือด้านทิศตะวันออก เป็นอ่าวไทยและทิศตะวันตกเป็นทะเลสาบ
- อำเภอสิงหนคร สภาพภูมิศาสตร์คือ สภาพพื้นที่เป็นที่ราบต่ำเนื่องจากอยู่ใกล้กับทะเล
- อำเภอเมืองสงขลา สภาพภูมิศาสตร์คือ มีภูเขาอยู่มากมายและอยู่ติดกับทะเล
- อำเภอจะนะ สภาพภูมิศาสตร์คือ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบและมีบางส่วนที่ติดกับทะเล
- อำเภอเทพา สภาพภูมิศาสตร์คือ พื้นที่เป็นที่ราบสลับกับเนินเขาเตี้ยๆมีแม่น้ำสายหลักคือแม่น้ำเทพาและมีชายหาดที่เชื่อมโยงกับอำเภอจะนะ
อำเภอที่ตั้งอยู่ที่ราบและที่ราบลุ่มมีดังนี้คือ:-
- อำเภอหาดใหญ่ สภาพภูมิศาสตร์คือ เป็นที่ราบสูง มีภูเขาค่อยลาดต่ำลงทางทิศเหนือที่จดกับทะเลสาบสงขลาส่วนในบริเวณตัวเมืองและรอบๆพื้นที่เป็นที่ราบลุ่มกว้างใหญ่
- อำเภอควนเนียง สภาพภูมิศาสตร์คือเป็นที่ราบลุ่ม
- อำเภอรัตภูมิ สภาพภูมิศาสตร์คือ เป็นที่ราบลุ่มสลับกับภูเขาเป็นบางแห่งซึ่งสามารถทำเหมืองหินได้
- อำเภอบางกล่ำ สภาพภูมิศาสตร์คือ มีคลองและส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม
- อำเภอนาหม่อม สภาพภูมิศาสตร์คือ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มสลับกับภูเขาสูงหลายแห่ง
- อำเภอคลองหอยโข่ง สภาพภูมิศาสตร์คือ เป็นพื้นที่ที่ใกล้กับตัวเมืองหาดใหญ่ซึ่งส่วนใหญ่ของพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม
อำเภอที่ตั้งอยู่ที่ราบสูงเนินเขามีดังนี้คือ:-
- อำเภอนาทวี สภาพภูมิศาสตร์คือ สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาและมีทรัพยากรป่าไม้ค่อนข้างสมบูรณ์
-
5.
- อำเภอสะบ้าย้อย สภาพภูมิศาสตร์คือ เป็นเนินเขาเตี้ยๆมีที่ราบระหว่างหุบเขาเป็นบริเวณแคบๆสลับด้วยแม่น้ำสายสั้นๆ
- อำเภอสะเดา สภาพภูมิศาสตร์คือ พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยภูเขา และเนินเขาเตี้ยๆแต่มิได้ติดเป็นพืดเดียวกันและมีที่ราบระหว่างหุบเขาเป็นบริเวณกว้าง
- อำเภอกระแสสินธุ์ สภาพภูมิศาสตร์คือเป็นที่ราบสูงที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรสทิงพระ
ใบงานที่3
วิทยาลัยชุมชนสงขลา
ชื่อ นายนูรุดดีน สาเร๊ะ เลขที่ 9 สาขา พัฒนาชุมชน
คำชี้แจง ให้นักศึกษาอธิบาย
1. จากการเรียนวิชาสงขลาศึกษา อำเภอต่างๆในจังหวัดสงขลาที่คิดว่ามีความประทับใจมากที่สุด ให้ยกตัวอย่างพร้อมกับเหตุผล ความสำคัญที่นักศึกษาคิดว่าประทับใจให้อธิบายประกอบ
ตอบ
จากการศึกษาวิชาสงขลาศึกษา โดยความรู้สึกส่วนตัวจะมีความประทับใจกับอำเภอหาดใหญ่มากที่สุด เหตุผลเพราะ อำเภอหาดใหญ่จะมีอัตราการขยายตัวในด้านต่างๆสูงที่สุด ซึ่งการขยายตัวของหาดใหญ่เริ่มขึ้นจากการที่มีคนเห็นการณ์ไกลว่าถ้ามีสถานีรถไฟ หาดใหญ่ก็จะเจริญก้าวหน้า หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาเรื่อยมาและเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจในแถบภาคใต้จวบจนปัจจุบัน
ส่วนในด้านของประเพณี วัฒนธรรมหาดใหญ่ก็มีอย่างหลากหลายเพราะมีหลายศาสนาอยู่รวมกันเช่น ศาสนาพุทธก็จะมี ประเพณีทำบุญเดือน10 ,ประเพณีชักพระ,ประเพณีลอยกระทง,การแสดงโนรา,การแสดงหนังตะลุงและการชนโค เป็นต้น ในส่วนของประชาชนเชื้อสายจีนก็จะมีประเพณีวันไหว้พระจันทร์และวันตรุษจีน และในส่วนของศาสนาอิสลามก็จะมีการฉลองเนื่องในวันตรุษ ซึ่งมีอยู่สองวันด้วยกันคือตรุษอีดิ้ลอัฏฮา และตรุษอีดิ้ลฟิตรี
--สถานที่ท่องเที่ยวและที่พักผ่อนหย่อนใจ--
- น้ำตกโตนงาช้าง เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสงขลา อยู่ในเขตท้องที่อำเภอหาดใหญ่ ตำบลทุ่งตำเสา มีน้ำตกหลายชั้นไหลลงมาตามหน้าผาที่เขียวชอุ่มด้วยหมู่แมกไม้วัน สุดสัปดาห์ชาวเมืองมักจะเดินทางไปพักผ่อนเป็นจำนวนมาก
- สวนสาธารณะของเทศบาลเมืองหาดใหญ่ อยู่ใกล้ค่ายเสนาณรงค์ มีบริเวณกว้างขวางมีภูเขา มีสระน้ำ เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง
- มีสนามกอล์ฟ ตั้งอยู่ในค่ายเสนาณรงค์
- โรงแรมและศูนย์การค้า เป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวทำให้เมืองหาดใหญ่เป็นเมืองที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในภาคใต้
ส่วนในด้านของการคมนาคมก็สะดวก เพราะมีท่าอากาศยานนานาชาติ,สถานีรถไฟและมีสถานีขนส่งซึ่งใหญ่และคึกคักมากๆอยู่ด้วย
2. จงบอกจุดเด่นของสภาพแต่ละอำเภอมา1-2ประการ(16 อำเภอ)
ตอบ
1. อำเภอเมืองสงขลา
2.
- เป็นเมืองประวัติศาสตร์
- เคยเป็นเมืองหลวงทางภาคใต้
- มีสะพานติณสูลานนท์
- มีสถาบันทักษิณคดีศึกษา
- ผ้าเกาะยอ
2. อำเภอหาดใหญ่
- น้ำตกโตนงาช้าง
- โรงแรมและศูนย์การค้า
- แหล่งธุรกิจ,ศูนย์การค้าและสถานบันเทิง
3. อำเภอเทพา
- เจดีย์พระสามองค์
- เกาะขาม
- ข้าวแกงไก่ทอด
- รีสอร์ท
4. อำเภอสะบ้าย้อย
- ถ้ำตลอด
- ถ้ำครก
- น้ำตกพระไม่ไผ่
5. อำเภอสะเดา
- น้ำตกโตนลาด
- น้ำตกโตนดาดฟ้า
- น้ำตกโตนน้ำร้อน
6. อำเภอจะนะ
- มีโรงแยกก๊าซไทย-มาเลย์
- มีโรงงานอุตสาหกรรมทำให้ประชาชนในพื้นที่มีงานทำ
7. อำเภอกระแสสินธุ์
- สะตอพันธุ์ดี
- วัดราษฏร์มหานิกาย
- ตาลโตนด
- บ่อน้ำศักสิทธิ์
8. อำเภอระโนด
3.
- งานสมโภชน์เทียนพรรษา
- เทศกาลกินเจ
9. อำเภอสทิงพระ
- อุทยานนกน้ำคูขุด
- ตาลโตนด
- วัดพะโคะ
- หาดมหาราช
10. อำเภอสิงหนคร
- ผลิตภัณฑ์จากตาลโตนด
- งานหัถกรรม
11. อำเภอนาหม่อม
- วัดป่ากอสุวรรณาราม
- ดอกไม้ใบยาง
- ผ้าบาติก
12. อำเภอบางกล่ำ
- หลวงปู่เฟื่อง
- ส้มโอหวาน
13. อำเภอรัตภูมิ
- น้ำตกเจ้าฟ้า
14. อำเภอควนเนียง
- ดินแดนศิลปิน-ศิลปะ
- บล็อกโคลี่
- กะท้อนห่อ
15. อำเภอนาทวี
- อุทยานแห่งชาติเขาน้ำค้าง
16. อำเภอคลองหอยโข่ง
- พ่อขุนคล่องคลองหอย
- ศาลเจ้าแม่กวนอิมพันมือ
3. จากการศึกษาสภาพภูมิศาสตร์ของอำเภอในจังหวัดสงขลาสามารถแบ่งออกได้เป็น3ลักษณะดังนี้:-
4.
3.1 สภาพภูมิศาสตร์ของอำเภอที่ตั้งอยู่ที่ราบชายฝั่ง
3.2 สภาพภูมิศาสตร์ของอำเภอที่ตั้งอยู่ที่ราบและที่ราบลุ่ม
3.3 สภาพภูมิศาสตร์ของอำเภอที่ตั้งอยู่ที่ราบสูงเนินเขา
ให้นักศึกษาบอกอำเภอตามลักษณะสภาพภูมิศาสตร์พร้อมอธิบายเหตุผลประกอบ
ตอบ
อำเภอที่ตั้งอยู่ที่ราบชายฝั่งมีดังนี้:-
- อำเภอระโนด สภาพภูมิศาสตร์คือ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มและตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบมรสุมเมืองร้อนแต่อากาศไม่ร้อนจัดเนื่องจากอิทธิพลของทะเล มี2ฤดูคือฤดูร้อนกับฤดูฝน
- อำเภอสทิงพระ สภาพภูมิศาสตร์คือ สภาพพื้นที่เป็นที่ราบต่ำ มีทะเลขนาบทั้ง2ด้านคือด้านทิศตะวันออก เป็นอ่าวไทยและทิศตะวันตกเป็นทะเลสาบ
- อำเภอสิงหนคร สภาพภูมิศาสตร์คือ สภาพพื้นที่เป็นที่ราบต่ำเนื่องจากอยู่ใกล้กับทะเล
- อำเภอเมืองสงขลา สภาพภูมิศาสตร์คือ มีภูเขาอยู่มากมายและอยู่ติดกับทะเล
- อำเภอจะนะ สภาพภูมิศาสตร์คือ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบและมีบางส่วนที่ติดกับทะเล
- อำเภอเทพา สภาพภูมิศาสตร์คือ พื้นที่เป็นที่ราบสลับกับเนินเขาเตี้ยๆมีแม่น้ำสายหลักคือแม่น้ำเทพาและมีชายหาดที่เชื่อมโยงกับอำเภอจะนะ
อำเภอที่ตั้งอยู่ที่ราบและที่ราบลุ่มมีดังนี้คือ:-
- อำเภอหาดใหญ่ สภาพภูมิศาสตร์คือ เป็นที่ราบสูง มีภูเขาค่อยลาดต่ำลงทางทิศเหนือที่จดกับทะเลสาบสงขลาส่วนในบริเวณตัวเมืองและรอบๆพื้นที่เป็นที่ราบลุ่มกว้างใหญ่
- อำเภอควนเนียง สภาพภูมิศาสตร์คือเป็นที่ราบลุ่ม
- อำเภอรัตภูมิ สภาพภูมิศาสตร์คือ เป็นที่ราบลุ่มสลับกับภูเขาเป็นบางแห่งซึ่งสามารถทำเหมืองหินได้
- อำเภอบางกล่ำ สภาพภูมิศาสตร์คือ มีคลองและส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม
- อำเภอนาหม่อม สภาพภูมิศาสตร์คือ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มสลับกับภูเขาสูงหลายแห่ง
- อำเภอคลองหอยโข่ง สภาพภูมิศาสตร์คือ เป็นพื้นที่ที่ใกล้กับตัวเมืองหาดใหญ่ซึ่งส่วนใหญ่ของพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม
อำเภอที่ตั้งอยู่ที่ราบสูงเนินเขามีดังนี้คือ:-
- อำเภอนาทวี สภาพภูมิศาสตร์คือ สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาและมีทรัพยากรป่าไม้ค่อนข้างสมบูรณ์
-
5.
- อำเภอสะบ้าย้อย สภาพภูมิศาสตร์คือ เป็นเนินเขาเตี้ยๆมีที่ราบระหว่างหุบเขาเป็นบริเวณแคบๆสลับด้วยแม่น้ำสายสั้นๆ
- อำเภอสะเดา สภาพภูมิศาสตร์คือ พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยภูเขา และเนินเขาเตี้ยๆแต่มิได้ติดเป็นพืดเดียวกันและมีที่ราบระหว่างหุบเขาเป็นบริเวณกว้าง
- อำเภอกระแสสินธุ์ สภาพภูมิศาสตร์คือเป็นที่ราบสูงที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรสทิงพระ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)