1.
บทนำ
มนุษย์ คือ สัตว์สังคมที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนมีการสื่อสารไปมา มีความร่วมมือ ร่วมใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกันเพื่อแบ่งเบาภาระในการดำรงชีวิต มีความคิดริเริ่มอยู่ในจิตวิญญาณของแต่ละคน แต่ขาดแรงกระตุ้นในส่วนของการนำไปใช้ ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ไม่มีความรู้เพื่อกระตุ้นความคิดเพื่อนำไปใช้ในเชิงสร้างสรรค์ผลงาน หรืออีกนัยก็คือการพัฒนาสังคมให้มันดีขึ้น ในทุกๆส่วนของการดำรงชีวิตในสังคม นั่นย่อมหมายถึงว่าต้องรวมกับการปลูกแนวคิด มีทฤษฏีในการพัฒนา ต้องยึดหลักปรัชญาในการดำรงชีพ เริ่มจากการพัฒนาในส่วนบุคคล ไปสู่คนรอบข้าง แล้วค่อยกลายเป็นชุมชนในวงกว้าง คนที่ริเริ่มก็จะกลายเป็นพัฒนากรอย่างอัตโนมัติ สำหรับหลักการพัฒนาของพัฒนากรคือต้องเริ่มจากน้อยไปหามาก จากเล็กไปหาใหญ่ จากแคบไปหากว้าง มีการวิเคราะห์ปัญหาให้ออก เหตุผลคือทุกๆการพัฒนามันต้องมีปัญหา รวมทั้งการกำหนดแนวทางป้องกันการเกิดปัญหาด้วย คือความยั่งยืนนั่นเอง.
2.
-สภาพปัญหา ประชากร
ก่อนอื่นเราต้องวิเคราะห์ปัญหาก่อนว่าชุมชนของเรามีปัญหาอะไรบ้าง ต้องแยกแยะให้ออกว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน สำหรับชุมชนของผม คือบ้านพรุชิง ม.7 ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา ต้องขอบอกก่อนว่าชุมชนแถบนี้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามมีอยู่ไม่กี่หลังคาเรือนที่นับถือศาสนาพุทธ สำหรับปัญหามันมีอยู่หลายปัญหา ขอยกมาอธิบายอย่างคร่าวๆดังนี้คือ:-
1.ปัญหาด้านการศึกษา
1.1 ชุมชนแห่งนี้สำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาแต่ จะมีบ้างบางส่วนที่แม้แต่ชั้นประถมปีที่ 6 ก็ยังไม่จบ ปัญหามันเกิดจากการที่พ่อแม่คิดว่าลูกหลานไปโรงเรียน แต่ความเป็นจริงคือ ลูกหลานไปไหนก็ไม่รู้ บางคนไปเล่นน้ำ บางคนไปเก็บผลไม้ตามป่ากิน เมื่อครูตามไปที่บ้านก็ได้รับคำตอบว่า เมื่อตอนเช้าก่อนไปตัดยางพ่อแม่ได้จัดการเตรียมข้าวเตรียมปลาเตรียมชุดนักเรียนไว้เรียบร้อยจากนั้นพ่อแม่ก็ไปตัดยาง ลูกก็ไปตามอารมณ์ที่เขาอยากจะไป
1.2 ในกรณีที่จบชั้นประถมปีที่ 6 แล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ เนื่องจากบางส่วนขาดทุนทรัพย์ บางส่วนก็ต้องทำงานช่วยเหลือพ่อแม่ในการจุนเจือครอบครัว บางคนสมัยอยู่ประถมฯเรียนเก่งมีแววในทางการเรียนแต่เมื่อมีปัญหาทางครอบครัวก็ต้องยอมหยุดเรียนโดยไม่มีทางเลือก หลายๆคนเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง กับโอกาสที่ขาดหายไป
1.3 บางทีสถานศึกษาเองก็มีส่วน เหตุผลคือมีหลายคนที่ไม่รู้หนังสือ พูดให้เข้าใจง่ายๆคือจบชั้นประถมปีที่ 6 แต่อ่านหนังสือไม่ออก ขนาดเขียนชื่อตัวเองยังผิดเลย นี่คือความเป็นจริงที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในชุมชนแถบนี้ แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาให้ดีขึ้นตามลำดับ
1.4 ปัญหากับค่านิยมผิดๆ ที่ว่าเรียนสามัญคือการเรียนในศาสนาพุทธ ทำให้หลายๆคนพอจบชั้นประถมปีที่ 6 แล้ว ก็ไม่ได้ต่อไปทางสายสามัญเพียงเพราะความไม่รู้ และค่านิยมผิดๆของพ่อแม่
2. ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
2.1 สำหรับปัญหาด้านเศรษฐกิจในชุมชนแห่งนี้ยังมีอีกมากเพราะสัดส่วนของคนยากจนกับคนที่มีอันจะกินมันไม่สมดุล กล่าวคือคนยากจนมีเยอะกว่า
3. ปัญหาผู้นำขาดสภาวะความเป็นผู้นำ
3.1 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นปัญหามายาวนาน มันเป็นปัญหาที่แก้ยากมากๆเพราะอำนาจเกือบทั้งหมดในชุมชนมันตกอยู่กับคนเพียงไม่กี่คน มันเกี่ยวกับการทุจริต งบประมาณที่เข้ามาในหมู่บ้านหลายๆครั้งที่ถูกใช้อย่างมิชอบ รวมทั้งเงินขวัญกำลังใจของชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านก็มีหลายครั้งที่ไม่เหลือถึงชุดรักษาความปลอดภัย
4. ปัญหาด้านความสามัคคีปรองดองในชุมชน
3.
4.1 เมื่อเกิดปัญหาการทุจริต ความเคารพนับถือในตัวผู้นำก็เหลือน้อย ก็แสดงว่ามีผู้นำก็เหมือนไม่มี ในเมื่อเหมือนไม่มีผู้นำ ศุนย์รวมจิตใจของคนในชุมชนก็เหมือนจะไม่มี ก็เลยกลายเป็นว่าต่างคนต่างอยู่ไม่ค่อยมีการปรองดองกันในชุมชน
5 .ปัญหาด้านยาเสพติด
5.1 ปัญหาข้อนี้ดูเหมือนว่าจะมีกันแทบจะหมู่บ้านและยิ่งขยายวงกว้าง และยิ่งหนักเข้าไปทุกทีๆเราพอจะจำแนกประเภทของยาเสพติดได้ดังนี้:-
- อันดับแรกที่มาแรงมากๆอยู่ในตอนนี้คือ ไม่ใช่4x4 (โฟร์วีลไดรท์) แต่เป็น 4x100 (น้ำกระท่อมผสมยาแก้ไอ น้ำแข็งและน้ำโค้ก) ความจริงแต่เดิมคนแก่ๆเคยเคี้ยวกันเป็นยาสมุนไพร ใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวาน โรคกระเพาะอาหารในรายที่อาการหนักๆ โรคความดันโลหิต มันไม่กระทบเท่าไหร่กับสังคม แต่4x100มันกลับกลายเป็นปัญหาสังคมที่นับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ แม้แต่เด็กๆก็กิน ปัจจุบันได้มีการเพิ่มส่วนผสมลงไปในยาเสพติดชนิดนี้ด้วยคือ ยากันยุง และก๊าซเฉื่อยที่อยู่ในหลอดไฟฟลูออเรสเซ้นต์ มันทำให้อันตรายมากขึ้นกว่าเดิม
- อันดับสอง มีชื่อว่าอินเตอร์หรือตามบ้านเรียกว่า มาโน เป็นยาเม็ดมีฤทธิ์กล่อมประสาท เมื่อเสพเข้าไปแล้วจะมีอาการประสาทหลอน มีความกล้าหาญกว่าที่ควรจะเป็น บางครั้งทำอะไรลงไปมักจะไม่รู้ตัว
- อันดับสามได้แก่กัญชา แต่ปัจจุบันถูกกระแสของน้ำกระท่อมซึ่งมาแรงกว่าบดบังรัศมีพอสมควรแต่ก็ยังเป็นปัญหาสังคมอยู่ดี
6. ปัญหาด้านมลภาวะ
6.1 มลภาวะด้านเสียง ในหมู่บ้านมีการเปิดลานซื้อไม้ยาง บางทีทั้งคืนมีการขึ้นไม้ยางจนถึงรุ่งสางซึ่งเสียงจากการขึ้นไม้ยางจะมีเสียงที่ดังมากจนทำให้บางคนนอนไม่หลับ
อีกส่วนที่เป็นมลภาวะด้วยคือเสียงจากรถจักรยานยนต์ที่แต่งซิ่งจนเสียงดัง
6.2 มลภาวะด้านขยะและสิ่งปฏิกูล เพราะไม่มีการตั้งกฎและการบริหารจัดการต่อขยะมูลฝอยทำให้ข้างถนนหลายๆแห่งเป็นที่ทิ้งขยะมูลฝอยรวมถึงกลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากขยะมูลฝอย มันเป็นความเครียดสะสมต่อคนหลายๆคนในชุมชน
7. ปัญหาด้านการเกษตร
7.1 ปัญหาทางด้านการผลิต เนื่องจากส่วนใหญ่การเกษตรในแถบนี้จะเป็นแบบทำตามบรรพบุรุษไม่มีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น มีการใช้สารเคมีกันอย่างแพร่หลายทำให้ดินเสื่อมโทรมผลผลิตที่ได้จึงน้อยกว่าเท่าที่ควรจะได้ ก็อย่างที่รู้ๆกันว่าสารเคมีกระทบกับระบบนิเวศน์ในวงกว้าง กระทบในทุกๆด้านของทรัพยากรธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น ยางพารา ในอดีตเมื่อปลูกยางพาราขึ้นมาโดยไม่ใส่ปุ๋ยก็ไม่เป็นไรเพราะในดินมีปุ๋ยธรรมชาติมาก พอยางโตขึ้นหน่อยก็มีการใช้ปุ๋ยเคมีทำให้ดินเสื่อม
4.
โทรม ในระยะสั้นอาจจะมองไม่เห็นผลกระทบ แต่ในระยะยาวเห็นได้ชัดเจนตอนที่มีการโค่นต้นยางเพื่อปลูกใหม่ พอมาปลูกใหม่ถึงได้รู้ว่าการเจริญเติบโตของยางมันไม่เหมือนในอดีตจนต้องมีการใช้ปุ๋ย ซึ่งในปัจจุบันเพิ่งมาตื่นตัวในเรื่องของเกษตรอินทรีย์เพื่อฟื้นฟูในเรื่องของคุณภาพดิน
7.2 การตลาด เนื่องจากการบริหารที่ไม่ดีเท่าที่ควรจึงไม่ประสบความสำเร็จทางด้านราคาเท่าที่ควร มีการถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง
8. ปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากในแถบนี้มีลานรับซื้อไม้ยางพารา และไม้ทั่วๆไปยกเว้นไม้นุ่นเพื่อป้อนโรงงานทำไม้ฟืนในโรงงานอุตสาหกรรม ให้มีการทำลายทรัพยากรป่าไม้ในธรรมชาติ มันเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง
- ทฤษฏี ปรัชญา แนวคิดพื้นฐาน หลักการ กระบวนการทำงานพัฒนาชุมชน
1.1 ปรัชญาพัฒนาชุมชน
พัฒน์ บุญรัตน์พันธุ์ ได้กล่าวถึงหลักปรัชญามูลฐานของงานพัฒนาชุมชนไว้ดังนี้:-
- บุคคลแต่ละคนย่อมมีความสำคัญ และมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกันจึงมีสิทธิอันพึงได้รับการปฏิบัติด้วยความยุติธรรม และอย่างบุคคลมีเกียรติในฐานะที่เป็นมนุษย์ปุถุชนอันหนึ่ง
- บุคคลแต่ละคนย่อมมีสิทธิ และสามารถที่จะกำหนดวิถีการดำรงชีวิตของตนไปในทิศทางที่ตนต้องการ
- บุคคลแต่ละคนถ้าหากมีโอกาสแล้ว ย่อมมีความสามารถที่จะเรียนรู้ เปลี่ยนแปลงทัศนะ ประพฤติปฎิบัติและพัฒนาขีดความสามารถให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงขึ้นได้
- มนุษย์ทุกคนมีพลังในเรื่องความคิดริเริ่ม ความเป็นผู้นำ และความคิดใหม่ ๆซึ่งซ่อนเร้นอยู่ และพลังความสามารถเหล่านี้สามารถเจริญเติบโต และนำออกมาใช้ได้ ถ้าพลังที่ซ่อนเร้นเหล่านี้ได้รับการพัฒนา
- การพัฒนาพลังและขีดความสามารถของชุมชนในทุกด้านเป็นสิ่งที่พึ่งปรารถนา และมีความสำคัญยิ่งต่อชีวิตของบุคคล ชุมชน และรัฐฉะนั้น จึงเห็นได้ว่าปรัชญาของการพัฒนาชุมชนนั้น
• ประการแรก ตั้งอยู่บนรากฐานอันมั่นคงแห่งความศรัทธาในตัวคน ว่าเป็นทรัพยากรที่มีความหมายและสำคัญที่สุด มนุษย์ทุกคนมีความสามารถ
5.
• ประการที่สอง การพัฒนาชุมชน ก็คือ ความศรัทธาในเรื่องความยุติธรรมของสังคม(Social Justice) การมุ่งขจัดความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำต่ำสูงที่เห็นได้ชัดในหมู่มวลชนนั้น เป็นเรื่องที่อารยะสังคมพึงยึดมั่น
• ประการสุดท้าย ความไม่รู้ ความดื้อดึง และการใช้กำลังบังคับเป็นอุปสรรคที่สำคัญยิ่งต่อความสำเร็จของการพัฒนา และความเจริญรุดหน้าจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยวิธีการให้การศึกษาเท่านั้น การให้การศึกษาและให้โอกาสจะช่วยดึงพลังซ่อนเร้นในตัวคนออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และการพัฒนาจะมีประสิทธิภาพได้ก็จะต้องยึดหลักการรวมกลุ่ม และการทำงานกับกลุ่ม เพราะมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม การอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และทำงานรวมกันเป็นกลุ่มจะช่วยให้คนได้เจริญเติบโตโดยเร็วที่สุด
ยุวัฒน์ วุฒิเมธี ได้กล่าวถึงปรัชญาของการพัฒนาชุมชน ประกอบด้วย
1. การพัฒนาชุมชนนั้นให้ความศรัทธา เชื่อมั่นในตัวบุคคลว่าเป็นทรัพยากร(Human Resources) ที่มีความสำคัญที่สุดในความสำเร็จของการดำเนินงานทั้งปวง และเชื่ออย่างแน่วแน่ว่ามนุษย์ทุกคนมีความสามารถที่จะพัฒนาตัวเองได้ตามขีดความสามารถทางกายภาพของตน หากโอกาสอำนวยและมีผู้คอยชี้แนะที่ถูกทาง
2. การพัฒนาชุมชนเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนปรารถนา ต้องการความยุติธรรมที่จะมีชีวิตอยู่ในสังคม (Social Justice) ต้องการอยู่ในสังคมด้วยความสุขกาย สบายใจ (SocialSatisfaction) และต้องการอยู่ร่วมในสังคมให้เป็นที่ยอมรับของสังคมด้วย (Social Acceptability) ทนงศักดิ์ คุ้มไข่น้ำ และคณะ (2534 : 6) ได้กล่าวถึงปรัชญาการพัฒนาชุมชน ไว้ว่า
การพัฒนาชุมชนมีหลักปรัชญาอันเป็นมูลฐานสำคัญ ดังนี้
1. มนุษย์ทุกคนมีพลังในเรื่องความคิดริเริ่ม และความเป็นผู้นำซ่อนเร้นอยู่ในตัวพลังเหล่านี้สามารถเจริญเติบโต และนำออกมาใช้ได้ ถ้าได้รับการพัฒนา
2. บุคคลแต่ละคนถ้าหากมีโอกาสแล้ว ย่อมมีความสามารถที่จะเรียนรู้ เปลี่ยนแปลงทัศนะ ประพฤติปฏิบัติ และพัฒนาขีดความสามารถให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงขึ้นได้
3. บุคคลแต่ละคนย่อมมีความสำคัญและมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกันจึงมีสิทธิอันพึงได้รับการปฏิบัติด้วยความยุติธรรมอย่างบุคคลมีเกียรติในฐานะที่เป็นมนุษย์ปุถุชนผู้หนึ่ง
6.
4. บุคคลแต่ละคนย่อมมีสิทธิ และสามารถที่จะกำหนดวิถีการดำรงชีวิตของตนไปในทิศทางที่ตนต้องการ
5. การพัฒนาพลังและขีดความสามารถของคนในชุมชนทุกด้าน เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา และมีความสำคัญยิ่งต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนทุกคนและชุมชนโดยส่วนรวม
กรมการพัฒนาชุมชน (2538) ได้กล่าวสรุป ปรัชญางานพัฒนาชุมชน มีความเชื่อว่า
1. มนุษย์ทุกคนมีเกียรติและศักดิ์ศรีในความเป็นคน
2. มนุษย์ทุกคนมีความสามารถ หรือมีศักยภาพ
3. ความสามารถของมนุษย์สามารถพัฒนาได้ถ้ามีโอกาส
1.2 แนวความคิดพื้นฐานในการพัฒนาชุมชน
การศึกษาแนวความคิดพื้นฐานของงานพัฒนาชุมชนเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้พัฒนากรสามารถทำงานกับประชาชนได้อย่างถูกต้อง และทำให้งานมีประสิทธิภาพ แนวคิดพื้นฐานในการพัฒนาชุมชนในระดับการปฏิบัติ มีดังนี้
1. การมีส่วนร่วมของประชาชน (People Participation) เป็นหัวใจของงานพัฒนาชุมชน โดยยึดหลักของการมีส่วนร่วมที่ว่า ประชาชนมีส่วนร่วมในการคิด ตัดสินใจวางแผนงาน การปฏิบัติการและร่วมบำรุงรักษา
2. การช่วยเหลือตนเอง (Aided Self – Help) เป็นแนวทางในการพัฒนาที่ยึดเป็นหลักการสำคัญประการหนึ่ง คือ ต้องพัฒนาให้ประชาชนพึ่งตนเองได้มากขึ้น โดยมีรัฐคอยให้การช่วยเหลือ สนับสนุน ในส่วนที่เกินขีดความสามารถของประชาชน ตามโอกาสและหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม
3. ความคิดริเริ่มของประชาชน (Initiative) ในการทำงานกับประชาชนต้องยึดหลักการที่ว่า ความคิดริเริ่มต้องมาจากประชาชน ซึ่งต้องใช้วิถีแห่งประชาธิปไตย และหาโอกาสกระตุ้นให้การศึกษา ให้ประชาชนเกิดความคิด และแสดงออกซึ่งความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อหมู่บ้าน ตำบล
7.
4. ความต้องการของชุมชน (Felt – Needs) การพัฒนาชุมชนต้องให้ประชาชน และองค์กรประชาชนคิด และตัดสินใจบนพื้นฐานความต้องการของชุมชนเอง เพื่อให้เกิดความคิดที่ว่างานเป็นของประชาชน และจะช่วยกันดูแลรักษาต่อไป
5. การศึกษาภาคชีวิต (Life – Long Education) งานพัฒนาชุมชนถือเป็นกระบวนการให้การศึกษาภาคชีวิตแก่ประชาชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคน การให้การศึกษาต้องใหการศึกษาอย่างต่อเนื่องกันไป ตราบเท่าที่บุคคลยังดำรงชีวิตอยู่ในชุมชน
1.3 หลักการดำเนินงานพัฒนาชุมชน
จากปรัชญา และแนวคิดพื้นฐานของการพัฒนาชุมชนได้นำมาใช้เป็นหลักในการดำเนินงานพัฒนาชุมชน ดังต่อไปนี้
1. ยึดหลักความมีศักดิ์ศรี และศักยภาพของประชาชน และเปิดโอกาสให้ประชาชนใช้ศักยภาพที่มีอยู่ให้มากที่สุด นักพัฒนาต้องเชื่อมั่นว่าประชาชนนั้นมีศักยภาพที่จะใช้ความรู้ ความสามารถที่จะปรับปรุง พัฒนาตนเองได้ จึงต้องให้โอกาสประชาชนในการคิด วางแผนเพื่อแก้ปัญหาชุมชนด้วยตัวของเขาเองนักพัฒนาควรเป็นผู้กระตุ้น แนะนำ ส่งเสริม
2. ยึดหลักการพึ่งตนเองของประชาชน นักพัฒนาต้องยึดมั่นเป็นหลักการสำคัญว่าต้องสนับสนุนให้ประชาชนพึ่งตนเองได้ โดยการสร้างพลังชุมชนเพื่อพัฒนาชุมชนส่วนรัฐบาลจะช่วยเหลือ สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และช่วยเหลือในส่วนที่เกินขีดความสามารถของประชาชน
3. ยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมคิด ตัดสินใจ วางแผน ปฏิบัติตามแผน และติดตามประเมินผลในกิจกรรม หรือโครงการใด ๆ ที่จะทำในชุมชน เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการดำเนินงาน อันเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในเรื่องความเป็นเจ้าของโครงการ หรือกิจกรรม
4. ยึดหลักประชาธิปไตย ในการทำงานพัฒนาชุมชนจะต้องเริ่มด้วยการพูดคุย ประชุม ปรึกษาหารือร่วมกัน คิดร่วมกัน ตัดสินใจ และทำร่วมกัน รวมถึงรับผิดชอบร่วมกันภายใต้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตยองค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดหลักการดำเนินงานพัฒนาชุมชนไว้ 10 ประการ คือ
8.
• ต้องสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชน
• ต้องเป็นโครงการเอนกประสงค์ที่ช่วยแก้ปัญหาได้หลายด้าน
• ต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติไปพร้อม ๆ กับการดำเนินงาน
• ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่
• ต้องแสวงหาและพัฒนาให้เกิดผู้นำในท้องถิ่น
• ต้องยอมรับให้โอกาสสตรี และเยาวชนมีส่วนร่วมในโครงการ
• รัฐต้องเตรียมจัดบริการให้การสนับสนุน
• ต้องวางแผนอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพทุกระดับ
• สนับสนุนให้องค์กรเอกชน อาสาสมัครต่าง ๆ เข้ามีส่วนร่วม
• ต้องมีการวางแผนให้เกิดความเจริญแก่ชุมชนที่สอดคล้องกับความเจริญในระดับชาติด้วย
1.4 กระบวนการทำงานพัฒนาชุมชน การปฏิบัติงานพัฒนาชุมชนเป็นงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เป็นกระบวนการดังนี้
1. การศึกษาชุมชน เป็นการเสาะแสวงหาข้อมูลต่าง ๆ ในชุมชน เช่น ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และสภาพความเป็นอยู่ของคนในชุมชน เพื่อทราบปัญหาและความต้องการของชุมชนที่แท้จริง วิธีการในการศึกษาชุมชนอาจต้องใช้หลายวิธีประกอบกันทั้งการสัมภาษณ์ การสังเกต การสำรวจ และการศึกษาข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในชุมชนด้วย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด กลวิธีที่สำคัญที่นักพัฒนาต้องใช้ในขั้นตอนนี้ คือ การสร้างความสัมพันธ์กับคนในชุมชน เพราะถ้าหากปราศจากสัมพันธภาพที่ดีระหว่างพัฒนากรกับชาวบ้าน แล้วเป็นการยากที่จะได้รู้ และเข้าใจปัญหาความต้องการจริง ๆ ของชาวบ้าน ความสัมพันธ์อันดี จนถึงขั้นความสนิทสนม รักใคร่ ศรัทธา จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องปลูกฝังให้เกิดขึ้นกับคนในชุมชน
2. การให้การศึกษาแก่ชุมชน เป็นการสนทนา วิเคราะห์ปัญหาร่วมกับประชาชนเป็นการนำข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากขั้นตอนการศึกษาชุมชน มาวิเคราะห์ถึงปัญหาความต้องการและสภาพที่เป็นจริง ผลกระทบ ความรุนแรง และความเสียหายต่อชุมชน กลวิธีที่สำคัญในขั้นตอนนี้คือ การกระตุ้นให้ประชาชนได้รู้ เข้าใจ และตระหนักในปัญหาของชุมชน ซึ่งในปัจจุบันก็คือ การจัดเวทีประชาคม เพื่อค้นหาปัญหาร่วมกันของชุมชน
9.
3. การวางแผน / โครงการ เป็นขั้นตอนให้ประชาชนร่วมตัดสินใจ และกำหนดโครงการ เป็นการนำเอาปัญหาที่ประชาชนตระหนัก และยอมรับว่าเป็นปัญหาของชุมชนมาร่วมกันหาสาเหตุ แนวทางแก้ไข และจัดลำดับความสำคัญของปัญหา และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจที่จะแก้ไขภายใต้ขีดความสามารถของประชาชน และการแสวงหาความช่วยเหลือจากาภายนอกกลวิธีที่สำคัญในขั้นตอนนี้ คือ การให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการแก้ไขปัญหา วิธีการวางแผน การเขียนโครงการ โดยใช้เทคนิคการวางแผนแบบให้ประชาชนมีส่วนร่วม
4. การดำเนินงานตามแผนและโครงการ โดยมีผู้รับผิดชอบในการดำเนินการตามแผนและโครงการที่ได้ตกลงกันไว้ กลวิธีที่สำคัญในขั้นตอนนี้ คือ การเป็นผู้ช่วยเหลือสนับสนุนใน 2 ลักษณะ คือ
4. เป็นผู้ปฏิบัติงานทางวิชาการ เช่น แนะนำการปฏิบัติงาน ให้คำปรึกษาหารือในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน
4.2 เป็นผู้ส่งเสริมให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติงาน
5. การติดตามประเมินผล เป็นการติดตามความก้าวหน้าของงานที่กำลังดำเนินการตามโครงการ เพื่อการปรับปรุงแก้ไขปัญหา อุปสรรคที่พบได้อย่างทันท่วงที กลวิธีที่สำคัญในขั้นตอนนี้ คือ การติดตามดูแลการทำงานที่ประชาชนทำ เพื่อทราบผลความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรค แล้วนำผลการปฏิบัติงานตามโครงการ หรือกิจกรรมไปเผยแพร่เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้ทราบสามารถกระทำได้โดย
5.1 แนะนำให้ผู้นำท้องถิ่นหรือชาวบ้าน ติดตามผลและรายงานผลด้วยตนเอง เช่น รายงานด้วยวาจา รายงานเป็นลายลักษณ์อักษร การจัดนิทรรศการ เป็นต้น
5.2 พัฒนากรเป็นผู้รายงานผลการปฏิบัติงานด้วยตนเอง เช่น รายงานด้วยวาจาต่อผู้บังคับบัญชาและผู้เกี่ยวข้อง เสนอผลการปฏิบัติงานต่อที่ประชุม ทำบันทึกรายงานตามแบบฟอร์มต่าง ๆ ของทางราชการ
ยังมีอีกแนวคิดหรือหลักการพัฒนาชุมชนเพื่อให้สอดคล้องกับจังหวัดแถวภาคใต้ซึ่งเป็นชุมชนของมุสลิมเสียส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นหลักแนวคิดที่เป็นสุขอย่างยั่งยืนด้วย
10.
แนวคิดการพัฒนาชุมชนมุสลิม ที่เป็นสุขอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันมีหลายองค์กรเข้าไปพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐไม่ว่าจะเป็นศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้และหน่วยความมั่นคงนำโดยกองทัพภาคที่ 4 อันเนื่องมาจากมีงบประมาณมหาศาล ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ แนวคิดการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคอย่างเข้าใจและเข้าถึงก่อนพัฒนาจึงมีความสำคัญก่อนจะไปกำหนดยุทธศาสตร์และนำแผนไปปฏิบัติ
ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในภาพรวมของการพัฒนาชุมชนคงไม่ต่างมากนักโดยเฉพาะ ปัญหาในการพัฒนาชุมชน
ผู้อ่านคงเคยได้ยินคำว่า มาม่า ไวไวและยำยำ ในการทำงานพัฒนาชุมชน
คำว่า มาม่า หมายถึง รัฐบาลหรือองค์กรพัฒนาเป็นผู้จัดการทำให้หมดเหมือนแม่ที่ดูแลปกป้องลูกจนในที่สุดก็ไม่สามารถช่วยตัวเองได้
ไวไว หมายถึง ลักษณะคนไทยที่ชอบทำอะไรให้เสร็จเร็ว ๆ ชอบทำอะไรให้เห็นผลเร็ว ๆ หรือสนใจร่วมทำกิจกรรม แต่ในระยะแรกเริ่มแล้วก็หมดความสนใจอย่างรวดเร็ว
ยำยำ หมายถึงความสับสน ซ้ำซ้อนของหน่วยงานที่เข้าไปดำเนินการเรื่องเดียวกัน จนส่งผลให้เกิดปัญหาการเกี่ยงและการไม่รับผิดชอบเมื่อเกิดปัญหา
นั้นคือสิ่งที่สังคมสะท้อนการทำงานของรัฐในการพัฒนาชุมชนซึ่งจากการศึกษาพบว่า ปัญหาดังกล่าว สามารถ สรุปได้ว่า มีอยู่ 4 ประการด้วยกันคือ
• จากพัฒนากร หรือนักพัฒนาซึ่ง มีความรู้ความเข้าใจ และอุดมการณ์การพัฒนาไม่ดีพอ เมื่อต้องเข้าไปอยู่ในชุมชนต้องเผชิญกับปัญหาและความยากลำบากของประชาชนจึงขาดขวัญ-กำลังใจ ไม่สามารถดำเนินการ และหรือเกิดความท้อถอยหรือไม่สามารถทำงานอุทิศทุ่มเทให้กับการพัฒนาได้
• จากวิธีการดำเนินงานของรัฐบาล ซึ่งมีวิธีการสั่งการและปฏิบัติการจากข้างบนลงล่าง กล่าวคือโดยหลักการพัฒนาจะต้องเกิดจากความต้องการจากข้างล่าง (Bottom Up) โดยการเปิดโอกาส ให้ประชาชนคิดเอง แก้ปัญหาเอง ทางรัฐเป็นเพียงที่ปรึกษา
11.
• ความซ้ำซ้อนของกิจกรรมการพัฒนา มีหน่วยงานองค์กรหลายๆ องค์กรที่เข้าไปทำงานเดียวกัน ซึ่งอาจมีรูปแบบวิธีการทำงานที่เหมือนหรือต่างกัน ทำให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องด้วยเกิดความสับสนและในขณะเดียวกันหน่วยงานนั้นก็แก่งแย่งงานกันทำแต่เมื่อเกิดความผิดพลาดจะไม่แย่ง กันรับผิดชอบ
• การฉ้อราษฎร์บังหลวง มีนักพัฒนาจำนวนไม่น้อยที่เบียดบังงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ ไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว รวมทั้งการเบียดบังเวลาทำงานไปทำงานอื่นส่วนตัวด้วย
จากปัญหาดังกล่าวผู้เขียนได้ร่วมคิดกับคณะทำงานเครื่อข่ายพัฒนาชุมชนจังหวัดภาคใต้เช่นอาจารย์วศิน สาเม๊าะอาจารย์ซาการียา บิณยูซูฟและอาจารย์มานะ ช่วยชู ขอเสนอแนวคิดการพัฒนาชุมชนมุสลิมที่เป็นสุขอย่างยั่งยืนดังนี้
1 .ฐานคิดในการดำเนินการ
1.1 แนวคิด "เบญจภาคี" อันประกอบด้วย
• การพัฒนายุทธศาสตร์ ต้องร่วมกันพัฒนา ร่วมกันเข้าใจ และร่วมกันปฏิบัติ แต่ความเข้าใจเชิงยุทธศาสตร์ในภาคีต่างๆ มีไม่เท่าเทียมกัน จึงควรมีการทำความเข้าใจภาคีเครือข่ายที่มีวิถีชีวิตอย่างสมานฉันท์และสันติวิธี
• การสร้างความเป็นเอกภาพของภาครัฐ โดยเน้นกลไกการมีส่วนร่วมในการพัฒนายุทธศาสตร์ การค้นหาผู้นำ การมีเครื่องมือและกลไกในการขับเคลื่อนความเป็นเอกภาพด้วยการใช้งานวิจัยเพื่อชุมชนโดยชุมชนเป็นฐานในการขับเคลื่อนความเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์ และใช้กระบวนการทางสังคมและความเคลื่อนไหวสื่อมวลชนท้องถิ่นมีการสร้างชุมชนเป็นสุข
• กระบวนการทางสังคมที่สนับสนุนให้ภาคประชาชน ภาคท้องถิ่น และภาคท้องที่ อย่างเช่น กระบวนการชูรอ กระบวนการซากาต เข้ามาร่วมเรียนรู้และร่วมผลักดันให้เกิดตำบลแห่งสันติสุข
• การเคลื่อนไหวโดยสื่อสารกับสังคมด้วย สื่อมวลชนทุกประเภท ทั้งประเภทสิ่งพิมพ์ เช่น จดหมายข่าวภาษาถิ่น นักข่าวพลเมือง เป็นต้น
• ภาคีเครือข่ายเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติประสานการพัฒนายุทธศาสตร์
12.
1.2 การใช้กระบวนทัศน์อิสลามหรือวิถีศาสนธรรมเพื่อการพัฒนา การใช้กระบวนทัศน์อิสลามหรือวิถีศาสนธรรม หมายถึง การพัฒนาเป็นไปตามวิถีอิสลาม เป็นทั้งระบบความเชื่อและแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ครอบคลุมพฤติกรรมของมนุษย์ในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่เกิดจนตายโดยมีรากฐานจากคัมภีร์อัลกุรอาน และอัซซุนนะห์ (อัซซุนนะห์ หมายถึง แบบฉบับหรือแนวปฏิบัติ) เป็นธรรมนูญในการดำเนินชีวิต ของท่านศาสดามูฮัมมัดให้ดำเนินการเจริญรอยตามมีหลักและแนวปฏิบัติวางไว้ครอบคลุมทุกด้าน มีบทบัญญัติกำชับไว้ทุกประการไม่ว่าจะเป็นด้านศีลธรรม จรรยาบรรณ สังคม วัฒนธรรมและเรื่องสุขภาพ เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง มีระบบยุติธรรม การคลี่คลายข้อขัดแย้ง การศึกษา การแต่งงาน การครองเรือน การอย่าร้าง การแบ่งมรดก และอื่นๆ ดังนั้นการเคลื่อนงานการพัฒนาชุมชนสุขภาวะต้องดำเนินการไปตามกรอบ จึงจะนำไปสู่การยอมรับจากชุมชนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และที่สำคัญต้องมีการดูแลจัดการให้เกิดการปรับเปลี่ยนนโยบายรัฐตามวิถีของชุมชน ทั้งด้านสาธารณสุข ด้านสวัสดิการ ด้านการศึกษา และผลักดันให้เกิดกระบวนการจัดการชุมชนด้วยระบบชูรอตามมิติอิสลามการใช้กระบวนการมีส่วนร่วมกับทุกฝ่าย (ชูรอ) และชุมชนจัดการตนเองได้ การส่งเสริมให้เกิดผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน
1.3 ประสบการณ์ในการดำเนินงานเดิมจะเป็นรูปแบบในการขับเคลื่อนการเสริมสร้างชุมชนเป็นสุข ภายใต้การกระบวนการเชิงปฏิบัติการผ่านเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากชุมชนต้นแบบภายใต้การวิเคราะห์ และทบทวนศักยภาพทุนทางสังคมของตนเองควบคู่กับการศึกษาระบบเริ่มต้นในเรื่อง ระบบการศึกษาแบบบูรณาการ ระบบสวัสดิการชุมชนด้วยซากาด ระบบการจัดการโดยชุมชนด้วยชูรอ และระบบการพัฒนาอาชีพ เพื่อนำไปสู่การจัดการสุขภาวะของชุมชนต้นแบบ และนำไปสู่ชุมชนขยายที่สามารถขยายประเด็นหรือระบบย่อยต่างๆ ตามสภาพของชุมชนให้นำไปสู่กระบวนการดำเนินงานต่อไป
1.4 ขบวนการดำเนินงาน เน้นบทบาทภาคประชาชน องค์กรชุมชน ผู้นำทางศาสนา ในการดำเนินงานเพื่อเป็นกลไกกำหนดทิศทางการพัฒนาชุมชนของตนเองให้สามารถขับเคลื่อนประเด็นเฉพาะในพื้นที่ กอปรกับความมุ่งมั่นของภาคีเชิงยุทธศาสตร์ (ภาคีหลัก (ดำเนินงาน) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน) ภาคประชาชน : ผู้นำศาสนา กรรมการประจำมัสยิด องค์กรชุมชน เป็นต้น ภาคียุทธศาสตร์ (ร่วมพัฒนา)เช่น ศูนย์อำนวยการบริหาร
13.
จังหวัดชายแดนภาคใต้ สถานีอนามัยหรือศูนย์บริการสุขภาพชุมชนในพื้นที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันยาเสพติด (ปปส.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน องค์การมหาชน (พอช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สถาบันจัดการระบบสุขภาพภาคใต้ (สจรส.) สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติยะลา มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์วิทยาลัยชุมชน) ที่สนับสนุนให้ระบบสนับสนุนในการพัฒนา ประชาชนสามารถจัดการตนเองบนพื้นฐานความหลากหลาย ให้เกิดอิสระในการดำเนินงาน ควบคู่กับความเชี่ยวชาญของทีมงานในกระบวนการดำเนินงานทำให้เกิดการขับเคลื่อน และการทำงานร่วมกันของคนนอกที่มีประสบการณ์การทำงานในพื้นที่เป็นอย่างดี จนเกิดการผสมผสานเป็นกระบวนการทำงานที่ตอบสนองต่อหลักการ "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" ในที่สุด
2. ทุนทางสังคมของจังหวัดชายแดนภาคใต้
การพัฒนาชุมชนที่สามารถพัฒนาสู่การพึ่งพาตนเองได้นั้น ทุนทางสังคมที่มีอยู่ในชุมชนมีความสำคัญมาก
เป็นที่ทราบกันดีว่า ในพื้นที่จังหวัดจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย และมีภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถเสริมสร้างศักยภาพและเพิ่มมูลค่า โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมทั้งจิตภาพและกายภาพ ด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือทุนทางสังคมของเครือข่ายจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีการดำเนินการด้านต่างๆ จนเกิดเป็นระบบการดำเนินงานใน 4 ระบบ ดังนี้
1. ระบบการศึกษาแบบบูรณาการ
การบูรณาการหลักสูตรในระดับประถมศึกษาในโรงเรียนของรัฐโดยมีชุมชนร่วมออกแบบ ยกร่างหลักสูตร การบูรณาการรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับหลักปฏิบัติในมิติของศาสนาทั้ง 3 มิติ ได้แก่
14.
1. มิติความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับอัลลอฮ (ศาสนกิจ)
2. มิติความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ (การอยู่ร่วมกันในสังคมที่หลากหลาย)
3. มิติความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
การดำเนินการของเครือข่าย ได้นำเอาหลักการบูรณาการด้านการศึกษาเข้ามาดำเนินการในหลายตำบล เช่น ตำบลจะแนะ ได้มีการนำเนื้อหาของวิชาศาสนาอิสลามบูรณาการเข้ากับหลักสูตรประถมศึกษาของโรงเรียน ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้เรื่องศาสนาเพิ่มขึ้นในเวลาเรียนปกติ ชุมชนบ้านโคกยางตำบลสะกอม อำเภอจะนะจังหวัดสงขลาซึ่งเป็นชุมชนชนบทได้พัฒนาระบการศึกษาหลักสูตร Intensive Arabic English Program (IAEP) เป็นการดำเนินการในรูปแบบของการเรียนการสอน ๒ ภาษา อย่างเข้มข้นคือเรียนอิสลามศึกษาด้วยภาษาอาหรับโดย และภาษาอังกฤษในสาระวิชาภาอังกฤษ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและไม่มีการแปลในระดับประถมศึกษา หรือรูปแบบการจัดการศึกษาแบบปอเนาะโมเดอร์น (สมัยใหม่) ของตำบลตะโล๊ะ จังหวัดปัตตานี เป็นต้น
2. ระบบสวัสดิการชุมชนด้วการจัดการซากาต
ซากาต ถือเป็นระบบสวัสดิการหลักตามศาสนบัญญัติของอิสลาม ประเภทใหญ่ๆ คือ 1) ซากาตมาล หรือ ซากาตทรัพย์สิน หมายถึงการที่มุสลิมถือครองทรัพย์สินตามพิกัดที่ศาสนากำหนดไว้จนครบรอบ 1 ปี หรือช่วงระยะเวลาหนึ่งที่จะต้องจ่าย บังคับให้มุสลิม 8 ประเภท ตามอัตราที่ถูกกำหนดไว้ 2) ซากาตฟิตเราะฮ์ (บาดานียะห์) หมายถึงการที่มุสลิมทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย จะต้องจ่ายทานบังคับให้กับมุสลิม โดยใช้อาหารหลักของท้องถิ่นบริจาคตามพิกัดที่ถูกกำหนดไว้ในการดำเนินการของเครือข่าย ได้นำหลักการบริหารจัดการของกองทุนซากาต เข้ามาดำเนินการในพื้นที่ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และถูกต้องตามหลักการทางศาสนา โดยในหลายชุมชนที่ได้เริ่มต้นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาใหม่ เช่น ในพื้นที่ตำบลจะแนะ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการซากาตในชุมชน เพื่อทำการศึกษาข้อมูลซากาตประเภทต่างๆ ในแต่ละชุมชน รวมทั้งเป็นองค์กรที่รวบรวมซากาตและแจกจ่ายซากาตแก่บุคคลที่มีคุณสมบัติตามหลักการศาสนาอิสลามได้กำหนด นอกจากแต่ละชุมชนจะมีคณะกรรมการในองค์กรซากาตแล้ว ยังมีข้อมูลของซากาตประเภทต่างๆของชุมชนอีกด้วย หรือในพื้นที่ชุมชนบ้านบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานีซึ่งนอกจากดำเนินการเรื่องกองทุนซากาตแล้ว ยังมีการจัดตั้งกองทุนซากาตของกลุ่มมูอัลลัฟโดยเฉพาะด้วย (กองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เพิ่งเข้านับถือศาสนาอิสลาม)
15.
3. ระบบการจัดการชุมชนด้วยระบบชูรอ (สภาทีปรึกษาชุมชน)
การบริหารจัดการชุมชนด้วย “ระบบชูรอ” ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับบุคคลผู้มีความเกี่ยวข้องกับชุมชน ทั้งผู้นำศาสนา ผู้นำอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ผู้นำตามตำแหน่ง ผู้นำตามธรรมชาติ เพื่อการปรึกษาหารือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชุมชน ซึ่งมีการหารือถึงสาเหตุ แนวทางแก้ปัญหาในชุมชน โดยมีสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย แกนนำในชุมชนตัวแทนเจ้าหน้าที่รัฐ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิก อบต.ฯลฯ) ตัวแทนกลุ่มองค์กรในชุมชน ปราชญ์ชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผู้นำตามธรรมชาติ ผู้นำศาสนา นักศึกษา ฯลฯ
สภาชูรอเป็นการประชุมโดยคณะบุคคลหลากหลายฝ่าย เพื่อหามติในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้เป็นไปตามแนวทางในการจัดการชุมชนโดยยึดหลักภายใต้บทบัญญัติทางศาสนา หาแนวทาง
4. ระบบการพัฒนาอาชีพ
• มีแหล่งเรียนรู้การประกอบอาชีพ เช่น สวนสมรม การประมงพื้นบ้าน และการแปรรูปสัตว์น้ำ ที่บ้านปลายทอน จ. นราธิวาส การเย็บหมวกกะปิเยาะ ที่ตำบลตาโล๊ะ จ. ปัตตานี
• มีแหล่งเรียนรู้ในการผลิตผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน เช่น กริชรามัน
16.
3. กรอบแนวคิดในการดำเนินการ
จากองค์ความรู้ดังกล่าว จะนำไปสู่การสร้างฐานความเข้าใจสถานการณ์ชุมชนภาคใต้ในระดับหนึ่งส่งผลให้กรอบแนวคิดในการทำงานต้องอาศัยการขับเคลื่อนเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายชุมชนเป็นสุขจากทีมงานที่เชี่ยวชาญเรื่องกระบวนการ ภายใต้การมีส่วนร่วมใน 5 ขั้นตอนคือ การวางแผน (Planning) การปฏิบัติ (Doing) การตรวจสอบ (Checking) และลงมือปฏิบัติจริง (Action) หลังจากนั้นสำหรับมุสลิมจะมีการขอพรเพื่อประสบความสำเร็จในงานที่ปฏิบัติและมอบหมายต่อพระเจ้า(Dua and Tawakal)ในขณะเดียวกันจะต้องไม่ลืมให้ คนนอกทีมีประสบการณ์การทำงานภายในพื้นที่และเข้าใจชุมชนมุสลิมเป็นอย่างดี ร่วมสนับสนุน รวมทั้งให้ผู้วิจัยสามารถทำความเข้าใจสถานการณ์ชุมชน และทุนทางสังคมของตนเองเพื่อให้เกิดการรับรู้สถานะของชุมชนตนเอง และนำเข้าสู่กระบวนการขับเคลื่อนเรียนรู้จากการประชุมเชิงปฏิบัติการในพื้นที่ต้นแบบที่สามารถสร้างความรู้ในบริบทของชุมชนที่ใกล้เคียงกัน เพื่อปรับแนวคิดในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างแหล่งต้นแบบและชุมชน ซึ่งส่งผลให้เกิดแนวทางในการดำเนินการจัดการสุขภาวะในชุมชนผ่านกลไกทางสังคมทางศาสนา อย่างเช่น กระบวนการซากาต กระบวนการชูรอ ร่วมกับกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระบบย่อย ที่สามารถสร้างการเรียนรู้ที่นำไปสู่การขยายชุมชนเรียนรู้ได้คือ ระบบการศึกษาแบบบูรณาการ ระบบสวัสดิการด้วยซากาต ระบบการจัดการในชุมชนด้วยกระบวนการชูรอ และระบบการพัฒนาอาชีพ และอาศัยกลไกของการค้นหาองค์ความรู้ของชุมชนผ่านการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชนโดยชุมชน ที่ต้องใช้การวิเคราะห์ สังเคราะห์ ถอดความรู้ประเด็นที่ต้องการขับเคลื่อน หรือประเด็นเร่งด่วนในการสร้างนโยบายสาธารณะ และจัดทำเป็นกรณีศึกษาโดยนักวิจัยในพื้นที่ โดยยึดหลักให้เข้าใจร่วมกันพัฒนา ร่วมกันเข้าใจ และร่วมกันปฏิบัติด้วยกระบวนการทางสังคมอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามการขับเคลื่อนทั้งหมดจำเป็นต้องอาศัยภาคียุทธศาสตร์ที่มีความมุ่งมันสนับสนุนและส่งเสริมให้ชุมชนจัดการตนเอง บนฐานความหลากหลายอย่างอิสระเพื่อนำไปสู่สุขภาวะในพื้นที่ได้ในที่สุด
4. แนวทางการดำเนินงาน
การดำเนินงานควรประกอบด้วยอย่างน้อย 4 แผนงาน ดังนี้ 1) การพัฒนาศักยภาพพื้นที่ 2) การพัฒนาชุมชนเครือข่าย 3) การวิจัยเพื่อพัฒนาสุขภาวะชุมชนโดยชุมชน และ 4) การสื่อสารและแลกเปลี่ยนเรียนกับสังคม โดยมีรายละเอียด ดังนี้
17.
1. แผนงานการพัฒนาศักยภาพพื้นที่
หลักการ เพื่อยกระดับชุมชนของเครือข่ายชายแดนภาคใต้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ มีความสามารถในการเรียนรู้ร่วมกับสมาชิกเครือข่าย สื่อสารกับสมาชิกเครือข่าย ตลอดจนมีการพัฒนาคุณภาพเกี่ยวกับการจัดการสุขภาวะของชุมชนอย่างต่อเนื่อง
วิธีการดำเนินงาน จัดประชุมเชิงปฏิบัติการแกนนำชุมชนเพื่อค้นหาทุนทางสังคมที่ใช้ในการจัดการสุขภาวะของชุมชนที่มีอยู่ที่ถือเป็นชุมชนต้นแบบ เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับชุมชนเครือข่ายและชุมชนขยายผล จัดอบรมและการศึกษาดูงานให้กับผู้นำของชุมชน เพื่อให้มีศักยภาพในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่มี และรวบรวมเป็นสื่อประเภทต่างๆ ตามความเหมาะสม พัฒนาหลักสูตรประจำแหล่งเรียนรู้ เพื่อใช้ในการถ่ายทอดและเรียนรู้ร่วมกับตำบลเครือข่าย เป็นต้น
2) การพัฒนาเครือข่าย
หลักการ การสร้างความเชื่อมโยงของระบบภายในเครือข่ายของชุมชนสุขภาวะต้นแบบ และขยายผลไปสู่ชุมชนที่สนใจ โดยชุมชนขยายผลสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้เพื่อจัดการสุขภาวะชุมชนโดยชุมชนได้อย่างสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ของตนผ่านการปรับเปลี่ยนเชิงนโยบาย การบริหารจัดการ และการพัฒนาแกนนำ
3) การวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชนโดยชุมชน
หลักการ ใช้วิธีการสังเกต การถอดบทเรียน การวิจัยประเด็นเร่งด่วน และสรุปบทเรียนเป็นกรณีศึกษาของแต่ละพื้นที่โดยนักวิชาการที่มีประสบการณ์ รวมทั้งสร้าง ”เครือข่ายนักวิชาการท้องถิ่นสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้เพื่อการจัดการสุขภาวะชุมชน” เพื่อการนำใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ที่มีความแตกต่างกันทางวัฒนธรรม
18.
วิธีการดำเนินงาน
1. นักวิชาการเข้าไปร่วมเรียนรู้และร่วมถอดบทเรียนเพื่อใช้เป็นปัจจัยนำเข้าของพื้นที่แต่ละชุมชน
2. มีการนำเสนอข้อมูลเพื่อตรวจสอบความแม่นยำทางวิชาการ
3. มีกิจกรรมค้นหาประเด็น หัวข้อการศึกษาวิจัย ออกแบบงานวิจัย และดำเนินการศึกษาวิจัย โดยการศึกษาเปรียบเทียบการดำเนินการระหว่างพื้นที่ต้นแบบกับพื้นที่ขยายผล
4) การสื่อสารและการแลกเปลี่ยนกับสังคม
หลักการ การเผยแพร่ระบบการจัดการสุขภาวะชุมชนในแต่ละเรื่องและประเด็น โดยการใช้สื่อสาธารณะสำหรับการเผยแพร่ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมถึงการขยายผลให้กับชุมชนอื่นๆ ที่สนใจโดยใช้ความเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของชุมชน
วิธีการดำเนินงาน
เช่น อบรมนักข่าวพลเมืองเพื่อเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดข้อมูล ผลิตสื่อ แผ่นพับ จดหมายข่าวภาษามลายู เพื่อขยายผลกระบวนการดำเนินงานของโครงการให้สังคมได้ทราบ เพื่อให้ภายในและระหว่างเครือข่ายต่างๆได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้
วิธีการพัฒนา การมีส่วนร่วม
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือการแก้ปัญหาในชุมชนโดยปัญหาที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วว่ามันคือปัญหาที่ต้องแก้ไขขั้นแรกต้องแก้ปัญหาก่อนแล้วค่อยพัฒนาให้ดีขึ้นส่วนปัญหาที่ต้องแก้ไขรวมทั้งพัฒนาให้มันดีขึ้นมีดังนี้:-
1. ปัญหาด้านการศึกษา
1.1 โดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งฝ่ายสถานศึกษาและผู้ปกครอง คือสถานศึกษาต้องมีความเข้มงวดมากขึ้นรวมถึงขอความร่วมมือกับผู้ปกครองในการทำการบ้านเพราะการบ้านเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถเสริมสร้างประสิทธิภาพในการเรียนให้มันดีขึ้น
1.2 ในกรณีที่จบชั้นป.6 ไปแล้วเด็กต้องมีการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นไป คือทำยังไงก็ได้ให้เด็กสามารถต่อยอดในระดับที่สูงขึ้นไปได้
19.
1.3 ส่วนในเรื่องที่ว่าในชุมชนแถบนี้มีค่านิยมผิดๆเกี่ยวกับการศึกษาสายสามัญเป็นการศึกษาในเรื่องของศาสนาพุทธ ต้องมีการสร้างแนวคิดใหม่ ว่าความจริงมันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเพราะศาสนาอิสลามไม่ได้มีข้อห้ามเกี่ยวกับการศึกษา จะมีเฉพาะบางศาสตร์เท่านั้นที่อิสลามได้ห้าม คือศาสตร์ที่เกี่ยวกับความงมงายหรือทางไสยศาสตร์ ส่วนการศึกษาสายสามัญถ้าคุณมีปัญญาเรียนถึงปริญญาเอกได้ก็จะเป็นการดีที่สุด
2. ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
2.1 สำหรับปัญหานี้ต้องแก้กันมากเพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะทำให้ทุกคนในชุมชนร่ำรวย แต่ที่ทำได้ก็คือทำยังไงให้คนในชุมชนมีความสุข ร่ำรวยรอยยิ้ม มีอันจะกินไม่อดอยากจนเกินไป วันนี้โชคดีด้วยพระบารมีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีโครงการและพระราชทานแนวคิดทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าใครนำไปใช้ก็จะเกิดความพอเพียงและมีความสุขในทุกๆด้านของชีวิต
2.2 ต้องพยายามผลักดันให้มีการรวมกลุ่มไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มสหกรณ์ เป็นต้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน
2.3 ต้องพยายามให้มีการพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพดีเพื่อให้มีอำนาจต่อรองด้านราคา รวมทั้งเมื่อมีการรวมกลุ่มกันก็สามารถต่อรองกับพ่อค้าคนกลางได้หรือสามารถตัดพ่อค้าคนกลางออกไปได้เลย
3. ปัญหาผู้นำขาดสภาวะความเป็นผู้นำ
เริ่มไม่แน่ใจว่าที่แท้จริงศัพท์เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างไร แต่ขอใช้คำนี้เพราะโดยส่วนตัวรู้สึกว่ามันเหมาะสมกับสถานการณ์ ในชุมชนนี้เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ สำหรับแนวทางแก้ปํญหามีกันหลายทางดังนี้:-
3.1 ต้องพยายามหาคนที่อาวุโสและเป็นที่เคารพนับถือเพื่อช่วยในการการดึงแนวคิดที่ถูกต้องคืนมา
3.2 ต้องพยายามอย่าให้เฉพาะกลุ่มผู้นำเท่านั้นที่มีอำนาจผูกขาดในเรื่องของงบประมาณ คณะกรรมการหมู่บ้านทั้งหมดต้องมีส่วนร่วมในการบริหารหมู่บ้าน
3.3 ต้องมีการประชุมคณะกรรมการหมู่บ้านประจำเดือน ในกรณีที่ผู้นำไม่จัดประชุมประจำเดือน คณะกรรมการหมู่บ้านที่เหลือต้องจัดกันเองเพราะทุกๆปัญหาสามารถแก้ได้โดยอาศัยการระดมความคิดจากหลายๆฝ่ายและที่สำคัญต้องแก้โดยผ่านความเห็นชอบจากการประชุมหารือกัน
3.4 ถ้ายังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ก็ต้องขอช่วยหน่วยเหนือให้ช่วยแก้ปัญหาให้โดยผ่านการร้องเรียน
4. ปัญหาด้านความสามัคคีปรองดองในสังคม
สำหรับปัญหาในข้อนี้ก็ต้องอาศัยการประชุมในการแก้ปํญหารวมทั้งต้องอาศัยสภาวะความเป็นผู้นำของผู้นำในการแก้ปัญหาต้องพยายามทุกวิถีทางในการสร้างความสมานฉันท์ให้บังเกิดขึ้นในสังคม
20.
5. ปัญหาด้านยาเสพติด
สำหรับปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆฝ่ายในการแก้ปัญหาทังผู้นำก็ดี ทั้งผู้ปกครองเองก็ดี ช่วยกันเป็นหูเป็นตาในการที่จะยับยั้งในการระบาดของยาเสพติดสำหรับทางแก้ที่คาดว่าจะได้ผลมีดังนี้คือ:-
5.1 พยายามทุกวิธีทางในการที่จะไม่ให้มีผู้ค้ายาเสพติดทุกประเภทในชุมชนโดยวิธีการที่ละมุนละม่อมที่สุดในอันดับแรก ซึ่งในขั้นตอนสุดท้ายถ้ายังดื้อดึงในการค้ายาเสพติดในชุมชน ก็ต้องมีการส่งข้อมูลแก่ทางการเพื่อจะนำไปสู่การจับกุมให้หมดสิ้นไปจากสังคม
5.2 ต้องมีการตั้งกฎกติกาในชุมชนสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกประเภท
5.3 สำหรับผู้ปกครองเองก็ต้องอาศัยการสังเกตดูว่าลูกหลานมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ที่จะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่ ถ้าหากว่ามี ก็ต้องแก้ปัญหา เชื่อเหลือเกินว่าถ้าหากทุกๆครอบครัวได้มีการสังเกตุและปฏิบัติกันเช่นนี้ก็สามารถแก้ปัญหาในข้อนี้ได้ในระดับหนึ่ง
6. ปัญหาด้านมลภาวะ ด้านเสียงและสิ่งปฏิกูลริมถนน
6.1 ปัญหาด้านเสียง ถ้าเราจะไปห้ามไม่ให้มีลานซื้อขายไม้ก็ไม่ได้เพราะเขาก็ทำอาชีพสุจริตเหมือนกัน แต่ต้องมองปัญหาว่าเสียงที่รบกวนจริงๆมันจะเป็นช่วงกลางคืนก็ต้องอาศัยการเจรจาว่าถ้าจะทำกันเฉพาะกลางวันจะได้หรือไม่
6.2 สำหรับในเรื่องของขยะก็สามารถแก้ได้ง่ายๆแค่จัดการในเรื่องของการทิ้งขยะและการกำจัดขยะให้หมด แค่นี้หมู่บ้านก็สะอาด
อีกส่วนหนึ่งในเรื่องของการขับรถซิ่งก็ต้องขอความร่วมมือกับผู้ปกครองและตัวเยาวชนเองโดยการหากิจกรรมอื่นที่สร้างสรรค์กว่าทำ ซึ่งให้มันดีกว่าขับรถซิ่งไปวันๆ
7. ปัญหาด้านการเกษตร
7.1 การผลิต ต้องเอาจริงเอาจังในเรื่องของการรณรงค์อย่าให้มีการใช้ปุ๋ยเคมีโดยหันมาใช้ปุ๋ยหรือสารชีวภาพแทน และพัฒนาคุณภาพของผลผลิตให้ทัดเทียมกับความเป็นสากล
7.2 เมื่อเราสามารถพัฒนาผลผลิตให้มันดีแล้วเราก็สามารถมีอำนาจต่อรองกับตลาดได้ในระดับหนึ่งซึ่งถ้าต้องการมีอำนาจต่อรองกับตลาดให้มากขึ้นก็ต้องมีการรวมกลุ่มกันในรูปแบบของกลุ่มหรือสหกรณ์
8. ปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติ
ข้อนี้แก้ยากเพราะต้องปลุกสำนึกและสร้างแนวคิดให้มีการหวงแหนและตระหนักถึงมหันตภัยของการที่ไม่มีป่าไม้เหลืออยู่ เป็นไปได้มั้ยถ้าจะมีการซื้อขายกันเฉพาะไม้ยางพาราเท่านั้นแทนที่จะมีการซื้อขายไม้ทุกอย่างที่ขวางหน้า
21.
สรุป
รายงานเล่มนี้ได้มีการหยิบยกปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในชุมชนหมู่ที่ 7 แห่งนี้ซึ่งเป็นปัญหามายาวนานโดยที่ยังไม่มีผู้ใดมาแก้ การแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือ แต่เฉพาะความร่วมมือกันก็ยังทำกันไม่ได้แล้วจะไปแก้ปัญหากันอย่างไรที่เห็นจะพอมีหนทางอยู่บ้างก็คาดว่าต้องมีการรวมกลุ่มกันของคนยุคใหม่ที่มีความรู้และมีจิตสำนึกที่จะแก้ปัญหาโดยการพูดกันในวงแคบๆก่อน ยกตัวอย่างเช่นในหมู่บ้านมีคณะกรรมการอยู่ 25 คนรวมผู้ใหญ่บ้านด้วย ก็ใช้วิธีการพูดกันในวงแคบๆ 2-3 คนก่อนแล้วค่อยเพิ่มจำนวนไปเรื่อยๆ จากนั้นก็จัดการประชุมเพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนา ประชุมทุกอย่างที่เกี่ยวกับปัญหาเพื่อหาทางแก้ปัญหา โดยอาศัยหลายๆทฤษฏีการแก้ปัญหาที่เหมาะกับชุมชน ซึ่งที่มาของการยกเอา 2 ทฤษฏีมากล่าวก็เพระว่าชุมชนแห่งนี้มีทั้งชุมชนของไทยพุทธและชุมชนของมุสลิม เชื่อว่าในอีกไม่นานถ้าในชุมชนแห่งนี้มีการเอาทฤษฏีในทำนองนี้ไปใช้ก็จะเกิดการพัฒนาที่ดีขึ้นและยั่งยืน และขอขอบคุณท่าน อาจารย์ อับดุลสุโก ดินอะ สำหรับข้อมูลบางส่วนในบล็อกของท่าน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น