วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

บทสัมภาษณ์วิชาความจริงของชีวิต

จากการที่ได้ทำการสัมภาษณ์บุคคลท่านหนึ่ง ท่านมีชื่อว่า นาย อีสอ มากาสะ อดีตผู้ใหญ่บ้าน ม.7 ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา ต่อคำถามที่ว่า “การพัฒนาประเทศไทย จากอดีตถึงปัจจุบัน ท่านคิดว่ามีผลดีหรือผลเสียที่กระทบในด้านสังคมและวัฒนธรรมอย่างไร? ซึ่งผู้เขียนสามารถที่จะสรุปได้อย่างคร่าวๆดังนี้คือ:-
ตอบ
การพัฒนาของประเทศไทยในทัศนะของท่าน คือมันมีทั้งข้อดีและข้อเสียซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้คือ:-
ข้อดี
- การพัฒนาด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในการที่ประเทศไทยเรามีการพัฒนาในด้านนี้อย่างต่อเนื่องรวมทั้งรับเอาวิทยาการจากต่างประเทศมาใช้ในบ้านเรา ทำให้การป้องกันโรค และรักษาโรคบางอย่างสามารถที่จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ความจริงเรามีภูมิปัญญาของเราอยู่แล้ว เช่นสมุนไพรพื้นบ้าน แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาหารการกิน ซึ่งบางส่วนก็รับวัฒนธรรมมาจากต่างประเทศด้วยเหมือนกัน ทำให้มีสารเคมีบางอย่างเป็นส่วนผสมของอาหารการกิน ทำให้สมุนไพรพื้นบ้านของเรามีประสิทธิภาพไม่เพียงพอที่จะรักษาได้ ก็ต้องอาศัยวิทยาการของแพทย์สมัยใหม่เข้ามาช่วย ซึ่งพัฒนาอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างถึงขีดสุด
- การพัฒนาด้านการคมนาคมและการสื่อสาร การที่เรามีเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เกี่ยวกับยานพาหนะทั้งหลาย รวมทั้งการสื่อสารที่รวดเร็ว ทำให้สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมือง มีการการขยายตัวทางสังคมไปในทุกพื้นที่แม้แต่ในพื้นที่ชุมชนอันห่างไกล
- การพัฒนาด้านการศึกษา ประเทศไทยมีการพัฒนาในด้านนี้ให้เทียบเท่ากับอารยะประเทศ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ เพราะยิ่งมีการศึกษาที่มีคุณภาพมากเท่าใด พัฒนาการด้านสังคม เศรษฐกิจก็ยิ่งดีขึ้นมากเท่านั้น แต่จะส่งผลดีต่อการเมืองมากน้อยแค่ไหนนั้น อันนี้ไม่ค่อยมั่นใจ
- พัฒนาการด้านการพิมพ์ มันจะส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของคน เช่นสื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือ วารสาร เป็นต้น มันจะส่งผลต่อความรอบรู้ของประชาชนในประเทศ
- การพัฒนาด้านการเกษตร การพัฒนาในด้านนี้ทำให้เกษตรกรมีผลผลิตที่มากขึ้น รวมทั้งคุณภาพก็ดีขึ้นด้วย ยกตัวอย่าง เช่น การพัฒนาสารชีวภาพเพื่อใช้ในการเกษตร เป็นต้น
ข้อเสีย
- การพัฒนาด้านการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งบางครั้งมันส่งผลเสียต่อสังคมในกรณีที่มีแพทย์ที่ขาดซึ่งจรรยาบรรณบางคน พัฒนาสารที่ก่อผลร้ายอย่างใหญ่หลวงต่อสังคม เช่นสารเสพติด ดังกรณีของ “มอร์ฟีน” แรกเริ่มเดิมทีมันเป็นยาแก้ปวดชนิดแรงอย่างหนึ่ง ใช้ในกรณีของคนไข้ที่มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่มีหมอหัวใสบางคนที่พัฒนามันขึ้นมาเป็น เฮโรอีน(ผงขาว)ในปัจจุบัน
- การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ การที่นำเอาระบบเสรีนิยม และทุนนิยม มาใช้ในบ้านเราทำให้เกิดปัญหาความเหลี่อมล้ำทางสังคมมากขึ้น คนรวยยิ่งรวยไปใหญ่ ส่วนคนจนก็ยิ่งแบนแต็ดแต๋มากยิ่งขึ้น นี่ยังไม่นับรวมไปถึงปัญหาที่กระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
- พัฒนาการด้านการพิมพ์ ทำให้สามารถเป็นสื่อที่ยั่วยุอีกทางหนึ่งด้วยเหมือนกัน
- การพัฒนาด้านการเกษตร เช่นการพัฒนาของสารเคมีที่ใช้ในการป้องกันแมลง การผลิตฮอร์โมนเพื่อเร่งการเจริญเติบโตให้แก่พืช มันก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
- การพัฒนาด้านการคมนาคมและการสื่อสาร การที่เรามียานพาหนะที่ทันสมัยมันเป็นการยิ่งเพิ่มโอกาสของการเกิดอุบัติเหตุมากยิ่งขึ้น ก็ต้องรอดูว่าจะมีมาตรการใดที่จะเพิ่มความปลอดภัย และในด้านการสื่อสารในยุคไร้พรมแดนเช่นปัจจุบัน มันเป็นโอกาสเสี่ยงต่อเยาวชนในการที่จะเป็นทาสของสื่อที่ยั่วยุทั้งหลาย

1. สำหรับสถานการณ์ปัญหา มันเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาที่ไม่ถูกจุด บางครั้งไม่ตรงกับความต้องการของคนในพื้นที่จริงๆ ซึ่งบางทีถ้าจะเจาะลึกกันจริงๆมันอาจจะเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัวของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือที่เรียกกันว่าทุจริตเชิงนโยบาย
การที่ในส่วนของข้าราชการไม่เข้าใจปัญหา และความต้องการอย่างแท้จริงของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ข้าราชการบางคนที่เป็นไทยพุทธ ไม่ได้ศึกษาถึงระบบของชุมชนมุสลิมว่าเป็นเช่นใด มันเกี่ยวกับประเพณี วัฒนธรรม ทำให้ไปแสดงออกถึงการขัดแย้งกับ ระบบประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนในพื้นที่ ส่งผลให้การตอบรับในด้านบวกลดน้อยลงไป มิหนำซ้ำจะเกิดผลเสียตามมาในระยะยาวอีกด้วย ทั้งๆที่ความจริงเจตนาที่จะพัฒนาแต่กลับกลายเป็นว่าไม่ได้รับการตอบรับจากสังคมเท่าที่ควร ฉะนั้นก่อนเราจะว่าสังคมไม่ยอมรับเราก็ต้องดูว่า ตัวเราทำให้เขายอมรับได้หรือเปล่า ซึ่งปัจจุบันนับว่าเบาบางลงไปมากแล้ว ไม่เหมือนในอดีตที่เกิดช่องว่างอย่างมากระหว่างประชาชนกับข้าราชการ
2. สาเหตุของปัญหา ประเทศไทยมีพัฒนากรอยู่มากมายรวมทั้งหน่วยงานของทางราชการที่เกี่ยวกับการพัฒนา แต่ขาดความรู้ที่เกี่ยวกับ ประเพณี และวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น บางทีมันเป็นนโยบายของรัฐที่ขาดการกลั่นกรองจากผู้ชำนาญการด้าน ประเพณีและวัฒนธรรมของท้องถิ่น ทำให้การปฏิบัติงานมันไปขัดแย้งกับ ประเพณีและวัฒนธรรม แต่ในปัจจุบัน เมื่อประชาชนมีบทบาทในหลายๆเรื่องและหลายๆโครงการทำให้ปัญหาตรงนี้ค่อยๆหมดไป
3. การแก้ปัญหา ทำได้โดยการทำประชามติ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด รวมไปถึงการศึกษาผลกระทบในทุกๆด้าน และในระยะยาว การพัฒนาต้องเน้นหลักของความยั่งยืน จะทำให้การกระทบในด้านลบต่อ สังคม และวัฒนธรรมน้อยที่สุด
4. องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา ก็จะมีหลายๆองค์กรที่สมควรเข้ามามีส่วนร่วมในจุดนี้ เช่น กรมการปกครอง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคประชาชนทั้งหลายที่คอยเป็นหูเป็นตาและคอยตรวจสอบความโปร่งใสในการทำงานของข้าราชการ องค์กรนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทั้งหลาย เช่นนักศึกษา ว.ช.ช สาขาพัฒนาชุมชน เป็นต้น
5. แกนนำ ถ้าเป็นในส่วนของอำเภอก็จะมีนายอำเภอเป็นแกนนำ โดยกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ความเข้าใจในเรื่องขนบธรรมเนียม ประเพณี จะได้ไม่มี่ปัญหาความขัดแย้งกับสังคม
6. เหตุผล ในเมื่อการพัฒนาในบ้านเรามันมีปัญหามานานเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างบุคคลากรของรัฐและประชาชน ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ก็คือการลดช่องว่างระหว่างกันให้มากที่สุด ทุกคนต้องรู้หน้าที่และการปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องอาศัยความรู้ในหลายๆด้าน ต้องศึกษาผลกระทบที่จะตามมาในระยะยาวด้วย
มันถึงจะทำให้สังคมไทยน่าอยู่และปราศจากความเคลือบแคลงภายในใจ ผลสัมฤทธิ์ของคำว่า “สมานฉันท์” ก็บังเกิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น