วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

สรุป รายวิชาความจริงของชีวิต(งานกลุ่ม)

รายงาน
เรื่อง สรุปรายละเอียดวิชาความจริงของชีวิต
กลุ่มที่ 3


เสนอ
อาจารย์ อับดุลสุโก ดินอะ


จัดทำโดย
1. นาย มะหะดี หัดขะเจ
2. นาย อรุณ ดลล่าเต๊ะ
3. นาย จีระพงศ์ หน่อทอง
4. นาย นูรุดดีน สาเร๊ะ
5. นาย อังคาร ตุลโน


สาขา พัฒนาชุมชน
วิทยาลัยชุมชน สงขลา


รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ความจริงของชีวิต (ศท 0201)
ภาคเรียนที่ 2/2552




1. เป้าหมายของชีวิตคือ
การดำเนินชีวิตเพื่อความอยู่รอด สะดวกสบาย และมีความสุข
2. ความหมายของศาสนาคือ
คำว่า "ศาสนา" ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า "Religion" และคำว่า "ศาสนา" ในภาษาไทย มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตว่า "ศาสน" แต่หากเขียนว่า "สาสนา" จะเป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีว่า "สาสน" (ประยงค์ สุวรรณบุบผา, 2537: 164)
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก (2527 : 28-36) ทรงให้ความหมายว่า ศาสนา มีความหมายสรุปได้เป็น 2 นัย คือ (1) คำสั่งสอน (2) การปกครอง
พระราชวรมุนี (ประยุทธ ปยุตฺโต) (2527: 291) ทรงให้นิยามว่า "ศาสนา" คือ คำสอน คำสั่งสอน ปัจจุบันใช้หมายถึงลัทธิความเชื่อถืออย่างหนึ่ง ๆ พร้อมด้วยหลักคำสอน ลัทธิพิธี องค์การ และกิจการทั่วไปของหมู่ชนผู้นับถือลัทธิความเชื่อถืออย่างนั้น ๆ ทั้งหมด
3. การแบ่งศาสนา
การจัดประเภทศาสนานั้น มีวิธีการจัดแบ่งที่หลากหลาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง เป็นต้นว่า
3.1 แบ่งประเภทของศาสนาตามระบบความเชื่อ
- ศาสนาแบบโลกิยะ (Secular Religion) คือการรวมเอาความเชื่อ หรือหลักการที่เกี่ยวกับความเชื่อในโลกนี้อย่างเดียวเท่านั้น โดยปฏิเสธความมีอยู่ของชีวิตในโลกหน้า ศาสนา ประเภทนี้รวมเอาหลักการของคอมมิวนิสต์ ลัทธิฟาสซิสม์ ลัทธิวัตินิยม สังคมนิยม รวมทั้งความประพฤติและระเบียบ กฎหมาย ประเพณีที่ยึดปฏิบัติกันอยู่ในสังคม
- ศาสนาแบบศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Religion) คือศาสนาตามประเพณีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือความลึกลับในชีวิตทั้งในโลกหน้า ศาสนาแบบนี้รวมคำสอนของศาสนาใหญ่ ๆ ซึ่ง เสริมให้บุคคลปฏิบัติตามกรอบที่ดีของศีลธรรม ทั้งบูชาและยกย่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีอยู่ในศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู เป็นต้น
3.2 แบ่งตามชื่อศาสนา
- ชื่อตามผู้ตั้งศาสนา ได้แก่ ศาสนาขงจื๊อ ตั้งชื่อตามท่านขงจื๊อ หรือศาสนาโซโรอัสเตอร์ ตั้งชื่อตามท่านศาสดาโซโรอัสเตอร์
- ชื่อตามนามเกียรติยศของผู้ตั้งศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ คำว่าพุทธะ แปลว่า ท่านผู้รู้ ทั้ง ๆ ที่นามแท้จริงของพระพุทธเจ้าคือ สิทธัตถะ โคตมะ หรือศาสนาเชน คำว่า เชน มาจาก คำว่า ชินะ แปลว่าผู้ชนะ ทั้งที่ชื่อจริงของผู้ตั้งศาสนาคือ วรรธมานะ เป็นต้น
- ชื่อตามหลักคำสอนในศาสนา ได้แก่ ศาสนาเต๋า คำว่า "เต๋า" แปลว่า ทาง (The Way) หรือทิพยมรรคา (The Divine Way) ศาสนาชินโต คำว่า "ชินโต" แปลว่า ทางแห่งเทพทั้งหลาย (The Way of the Gods) เป็นต้น
3.3 แบ่งประเภทตามการที่มีผู้นับถืออยู่หรือไม่
- ศาสนาที่ตายไปแล้ว (Dead Religions) หมายถึง ศาสนาที่เคยมีผู้รับถือในอดีต แต่ปัจจุบันไม่มีใครนับถือ หรือดำรงไว้ คงไว้เพียงชื่อที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ เช่น ศาสนาของอียิปต์ โบราณ ศาสนาของเผ่าบาบิโลเนียน ศาสนาของกรีกโบราณา เป็นต้น
- ศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่ (Living Religion) หมายถึง ศาสนาที่ยังมีผู้นับถืออยู่จนถึงปัจจุบันนี้
ก. ศาสนาที่มีแหล่งกำเนิดในเอเชียตะวันออก คือ จีน และญี่ปุ่น ได้แก่ ศาสนาขงจื๊อ ศาสนาเต๋า และศาสนาชินโต
ค. ข.ศาสนาที่มีแหล่งกำเนิดในเอเชียใต่ เช่น อินเดีย ปากีสถาน ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดู ศาสนาเชน และศาสนาสิข
ง. ศาสนาที่มีแหล่งกำเนิดในเอเชียตะวันตก คือ ดินแดนปาเลสไตน์ เปอร์เชีย และอารเบีย ได้แก่ ศาสนายูดาย หรือยิว ศาสนาสโซโรอัสเตอร์ ศาสนาคริส์ และศาสนาอิสลาม
3.4 แบ่งประเภทตามความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า
3.4.1 ศาสนาที่นับถือพระเจ้า หรือ "เทวนิยม" (Theism) คือ เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ที่สร้างโลก และสรรพสิ่งต่าง ๆ ซึ่งศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์แยกเป็น
ก. เอกเทวนิยม (Monotheism) จะนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ได้แก่ ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนาสิข และศาสนาเต๋า
ข. พหุเทวนิยม (Polytheism) นับถือพระเจ้าหลายองค์ บางครั้งยังผสมผสานกับการบูชาธรรมชาติ ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาชินโต และศาสนาขงจื๊อ
3.4.2 ศาสนาที่ไม่มีการนับถือพระเจ้า เรียกว่า "อเทวนิยม" (Atheism) ได้แก่ ศาสนาพุทธ และศาสนาเชน
4. ข้อแตกต่างและข้อเหมือนของศาสนา
- ตารางข้อแตกต่างระหว่างศาสนาพุทธ และ อิสลาม
วิถีวัฒนธรรม ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม
การยึดเหนี่ยวจิตใจ เทวรูป,พระพุทธเจ้า พระอัลลอฮ์
ศาสดา พระสิทธถะ มูฮัมหมัด (ศ้อลฯ)
คัมภีร์ พระไตรปิฏก เตารอด,อินญิล,ซาบูรและ
อัลกุรอ่าน
การแต่งกาย ไม่มิดชิด ปกปิดมิดชิด
ศาสนพิธี บรรพชา,อุปสมบท การละหมาด,การถือศีลอด,จ่ายซะกาตและการทำฮัจญ์

การบริโภค
กินเนื้อหมู
ไม่กินเนื้อหมู
หลักธรรม คำสอน 1.ทาน
2.ปิยวาจา
3.อัตถจริยา
4.สมานัตตตา
พรหมวิหาร4
1.เมตตา
2.กรุณา
3.มุทิตา
4.อุเบกขา
เบญจศีล
1.ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
2.ไม่ลักขโมยคดโกงผู้อื่น
3.ไม่ประพฤติผิดในกาม
4.ไม่พูดปด
5.ไม่ดื่มสุราและของมึนเมา
อริยสัจ4
1.ทุกข์
2.สมทัย
3.นิโรธ
4.มรรค
อิทธิบาท4
1.ฉันทะ
2.วิริยะ
3.จิตตะ
4.วิมังสา
วุฒิธรรม4.
1.สัปปริสสังเสวะ
2.สิทธัมมัสสวนะ
3.โยนิโสมนสิการ
4.ธัมมานุธัมมปฏิบัติ
ทิฏฐธัมมิภัตถประโยชน์4.
1.อุฎฐานสัมปทา
2.อารักขสัมปทา
3.กัลยาณมิตตา
4.สมชีวิตา มี 2 ประเภทใหญ่ๆคือ:-
1.หลักศรัทธา
-ศรัทธาในพระอัลลอฮ์ -ศรัทธาในบรรดามลาอีกะฮ์ -ศรัทธาในพระคัมภีร์ -ศรัทธาในศาสนฑูต -ศรัทธาในวันพิพากษา -การศรัทธาต่อกฏกำหนดสภาวการณ์ 2.หลักปฏิบัติ -การปฏิญาณตน -การนมาซ (ละหมาด) -การถือศีลอด -การจ่ายซะกาต -การประกอบพิธีฮัจญ์

ศาสนสถาน วัด มัสยิด

- ในแง่มุมของความเหมือนกัน เช่น
1 . ทุกศาสนา สอนให้มนุษย์เกิดความเชื่อว่า "ตัวเองได้หลุดพ้นจากความรู้สึกผิดแล้ว"
2 . ทุกศาสนา สอนให้มนุษย์เชื่อว่า "แต่นี้ต่อไปสิ่งลึกลับจะไม่ลงโทษเราอีกต่อไปแล้ว"
3 . ทุกศาสนา สอนให้มนุษย์เชื่อว่า "แต่นี้ต่อไปสิ่งลึกลับจะยกโทษให้เรา หรือบรรเทาโทษให้เราแล้ว
5. หน้าที่พลเมืองของศาสนิกที่มีต่อศาสนา
1. ศึกษาหลักธรรม และปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดา ตลอดจนนำหลักธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้คนในสังคม
2. ศึกษาความสำคัญของศาสนาที่มีต่อสังคมไทยและประชาชนชาวไทย โดยให้เห็นคุณค่า ของศาสนาที่ตน นับถือ ตลอดจนคุณค่าของศาสนาที่คนอื่น ๆ นับถือ เพื่อนำหลักจริยธรรม ในศาสนา มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประเทศ และทำให้สังคมมีความสงบสุข
3. ศึกษา และเข้าร่วมประกอบศาสนพิธีตามโอกาส ซึ่งการประกอบพิธีกรรมทางศาสนานั้น ไม่ควรขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยของกฎหมายบ้านเมือง ตลอดจนไม่ขัดกับจารีตประเพณี อันดีงาม ของสังคมไทยที่สืบทอดกันมา
4. เผยแผ่ศาสนาที่ตนนับถืออยู่ไปยังศาสนิกชนผู้นับถือศาสนาเดียวกัน และศาสนิกชนต่างศาสนา เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับศาสนา และเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ทาง ด้านศาสนาระหว่างกัน
5. ปกป้องและรักษาศาสนาที่ตนเองนับถือ ตลอดจนสถาบันและองค์กรทางศาสนาต่าง ๆ มิให้ผู้ใดสร้างความ เสื่อมเสียให้ได้ และหากมีผู้ใดเกิดความเข้าใจผิดในศาสนาที่เรานับถือ ก็ควรให้ความกระจ่างและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
6. ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น ๆ กล่าวคือ ไม่ดูหมิ่นหลักคำสอน ศาสดา คัมภีร์ ศาสนิกชน และ พิธีกรรม ทางศาสนา ตลอดจนไม่ทำลายรูปเคารพ หรือโบราณสถานและโบราณวัตถุ ของศาสนาอื่น ๆ
7. ส่งเสริมให้มีกิจกรรมระหว่างศาสนา และศาสนิกชนที่นับถือศาสนาอื่น ๆ ทั้งนี้เพื่อให้เกิด ความเข้าใจอันดีระหว่างกัน และเพื่อประสานความช่วยเหลือกันในอนาคต
8. ช่วยพัฒนาศาสนสถาน เนื่องจากศาสนสถานเป็นที่ประกอบพิธีกรรม และเป็นที่พำนักของ นักบวช ตลอดจนเป็นศูนย์รวมของศิลปวัฒนธรรมของศาสนาต่าง ๆ ดังนั้น ศาสนิกชนที่ ดีควรช่วยกันพัฒนา ศาสนสถานของตนให้สะอาดเรียบร้อย และทำนุบำรุงส่วนที่เสียหายให้มีความมั่นคงแข็งแรงต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น